สัมภาษณ์ #TVXQ WMagazine 2018

2018 WMagazine

ทงบังชินกิเจ้าพ่อแห่งวงการ K-Pop กับการกลับมาหลังจากพักเบรกไปสามปีกับอัลบั้มใหม่  ภาพลักษณ์ใหม่  และ บัญชี Instagram ใหม่

กรุงโซล  ประเทศเกาหลีใต้  ช่วงบ่ายวันอังคารที่ผ่านมา  การสอดประสานของไฟแฟลชเริ่มสาดส่องไปสู่ฮอล์จัดงานซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของ Zaha  Hadid, ทงแดมุนดีไซน์พลาซ่า  สถานที่ซึ่งแบรนด์เสื้อผ้าบุรุษ Caruso ได้จัดแสดงคอลเล็คชั่นฤดูใบไม้ร่วงปี 2018 ในฐานะส่วนหนึ่งของโซลแฟชั่นวีค  เป้าหมายของกลุ่มช่างภาพที่ร่วมตัวกันอยู่แถวหน้า: “ชเวกัง” ชางมินและ “ยูโน” ยุนโฮศิลปินดูโอ้ผู้สร้างวงทงบังชินกิ

โชว์ของ Caruso ในช่วงค่ำ, 3 ปีผ่านไปตั้งแต่อัลบั้ม Rise As God ปี 2015 ของทงบังชินกิวางแผง เพียงสัปดาห์เดียวหลังจากที่งาน SFW จบ, พวกเขาก็มีกำหนดปล่อยอัลบั้มเต็มลำดับที่ 9, New Chapter #1: The Chance of Love แม้ว่าจะห่างจากตอนเดบิวต์มาก, New Chapter #1 คือบางอย่างเหมือนที่ชื่อได้บอกไว้: การเริ่มต้นที่สดใสของวงที่ครองวงการ K-Pop ทั้งในและนอกประเทศมาเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษครึ่ง  การทำอัลบั้มเลี่ยงโปรดักชั่นที่อัดแน่นแบบการอัดของอัลบั้มก่อนๆเพื่อให้เพลงดูเบาลง; การร้องประสานในเสียงหลบ  ยุนโฮเริ่มบรรยายในเรื่องคอนเซ็ปท์ — แสดงถึงความสัมพันธ์ทั้งขาขึ้นและขาลงใน 11 แบบ, เริ่มด้วย synth-driven “Love Line” — ปีที่แล้ว เนื่องจากเขาและชางมินเพิ่งเริ่มอัดเสียงด้วยกันแบบจริงจังเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา

“โตขึ้นครับ ไม่ได้บอกว่าเพราะอายุของผมแต่ผมพยายามจะค่อย ๆ ผ่อนคลายตัวเองทุกเรื่องเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน  พยายามจะแสดงให้เห็นด้านของผมที่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ” ชางมินกล่าวผ่านผู้แปลหลังสัปดาห์นั้น (ตั้งแต่การปล่อยอัลบั้มครั้งล่าสุด, ชางมินและยุนโฮเข้าสู่ช่วงวัย 30 แล้ว; พวกเขาเขียน อัดเพลง  และแสดงในฐานะทงบังชินกิมาครึ่งชีวิตแล้ว) ช่วงสุดสัปดาห์แรกในตอนบ่าย  ณ Jenny House Salon ย่านกังนัม, โซล, หนึ่งชั่วโมงก่อนโชว์ฤดูใบไม้ร่วง 2018 ของ Munsoo Kwow, สไตลิสต์เพิ่งฉีดสเปรย์ผมหน้าม้าของเขาให้ดูยุ่ง ๆ เสร็จเลย “นักดนตรีผู้เล่นเครื่องดนตรี, เมื่อเขาเริ่มเล่นเป็นครั้งแรก, เขาพยายามที่จะแสดงเทคนิคที่ดูแต่งเติม” เขากล่าว “แต่เมื่อเวลาผ่านไป, เขาจะใส่อารมณ์เข้าไปในดนตรี, ในแต่ละและทุกๆเมโลดี้ที่เขาเล่นได้” เขากล่าวต่อ “มือกีตาร์ที่เก่งๆไม่ได้เก่งแค่เล่นได้เร็วถูกไหมครับ? โน้ตแต่ละตัวที่เขาเล่นมีออร่าที่ยิ่งใหญ่มาก”

มากกว่าความมั่นใจในความเป็นนักดนตรีทั้งสองตัดส่วนประกอบในเชิงปฏิบัติทางสุนทรียะ/ความสวยงามเพื่อเน้นสิ่งที่ยุนโฮเรียกว่า “ด้านความเป็นมนุษย์” ของพวกเขานี่เป็นการเพิ่มลุ๊คด้วย: หลายๆบล็อกอุทิศให้กับสไตล์ของพวกเขา–ไม่ว่าจะบนเวทีหรือสนามบิน–ชุดหมีสียีนส์ ลายเสือดาว เดนิมลายอาร์ตยุ่งเหยิง  ในอัลบั้มที่ผ่านมา  แต่เมื่อเราได้พบกันชางมินใส่เสื้อผ้าเรียบๆเสื้อคอปกโอเวอร์ไซต์  กางเกงโชว์ข้อเท้า และเสื้อคลุม  ส่วนยุนโฮสวมเทนซ์โค้ทสีน้ำเงินเข้มประดับด้วยตัว “B” เล่นหางสวมทับบนเสื้อกลัดกระดุมลายดอกไม้

ยกตัวอย่างเช่น  การปรากฏตัวทางทีวีและเพลง  ทุกอย่างตอนนี้ใกล้เคียงกับตัวจริงของเรามากขึ้น  จากปกอัลบั้มของด้วยเรา” ชางมินกล่าว “เราอยากให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของพวกเรามากกว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์บนเวที  แต่เป็นความผ่อนคลายขึ้น  เป็นธรรมชาติมากขึ้น  เพราะงั้นการทำแบบนั้น ผมพูดแบบนี้ได้ไหม เราตัดความสมบูรณ์ออก”

นี่ไม่ใช่พัฒนาการตามอายุและประสบการณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น: ช่วงเวลาสั้นๆที่ปล่อยอัลบั้ม Rise As God หลังจากนั้นยุนโฮและชางมินจำเป็นต้องเข้ารับใช้ชาติเป็นเวลา 2 ปี  พวกเขาปลดประจำการในเดือนสิงหาคมและเมษายน 2017 ตามลำดับ

“ผมทำงานอย่างขยันและดุเดือดมากเป็นเวลา 15 ปีและการให้ความสนใจคนอื่นก็สำคัญมากๆสำหรับผม” ชางมินกล่าว “เอาความดุดันในการทำงานที่ผมเคยเป็นออกไปหนึ่งสเต็ป  ผมมาคิดว่าตอนนี้ผมอยากทำสิ่งที่สบายๆและเข้าถึงได้”

ยุนโฮสะท้อนความคิดของเพื่อนร่วมวงเมื่อเขาได้ให้สัมภาษณ์ในเย็นวันนั้น “ผมคิดว่าเราถูกเติมพลัง” เขากล่าว  เรานั่งอยู่ในห้องของโรงแรมข้างบนห้าง Migliore ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ตรงข้าม DDP สถานที่ซึ่งแบรนด์ Beyond Closet จัดแสดงแค่ที่งาน SFW เท่านั้น  ยุนโฮเพิ่งกลับมาจากบ้านเกิดกวางจูในการขว้างเปิดเกมส์เบสบอลให้กับ Kia Tigers ก่อนจะเดินทางเป็นเวลา 4 ชม. กลับมาโซลเพื่องานสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วง 2018 เสื้อเบสบอลสีแดงน้ำเงินยังวางอยู่ในห้องเตียงแฝดอยู่เลย (เขาไม่ได้ชอบเล่นแต่ร่วมชื่นชมทีมบ้านเกิด: “จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาเป็นแบบผมด้วยนะ” เขากล่าว) “เรามองตรงไปข้างหน้าในทุกวัน  แต่เมื่อมีเวลาพักเล็กน้อยเราก็เรียนรู้ที่จะมองไปข้างหลังและด้านข้าง” เขาเสริม

ในฤกษ์งามยามดีอันพิเศษของยุคใหม่นี้และวิธีการสื่อสารโดยตรงกับแฟนๆทั้งชางมินและยุนโฮได้เล่น Instagram เมื่อตอนต้นปี  มียอดฟอลโลเวอร์เกือบครึ่งล้านแล้วในตอนนี้–แม้พวกเขาจะสาบานว่าไม่ได้แข่งขันอะไรทั้งนั้น “ผมไม่เคยนึกถึงอะไรแบบนี้เลย” ยุนโฮบอกฉัน  เขาหัวเราะตอนฉันถามว่าเคยแข่งกันให้ได้ฟอลโลเว่อร์หรือยอดไลค์เยอะๆไหม

อุตสาหกรรมเพลงเกาหลีใต้ประสบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ทงบังชินกิเดบิวต์ในปี 2003: ชางมินและยุนโฮไม่ใช่ศิลปินวงแรกที่ฉันได้พูดคุยด้วยเพื่อพรรณนาการเปลี่ยนอำนาจจากการควบคุมของบริษัทที่มีชื่อเสียงและบริษัทที่จัดการ  ผลที่ได้ New Chapter #1 ที่เป็นดั่งภาพยนต์แตกต่างจากงานครั้งก่อนเป็นมากกว่าผลิตภัณฑ์ของการใส่ความสร้างสรรค์ของพวกเขา– “สัญลักษณ์” ใหม่ของเขา  ยุนโฮกล่าว  ในขณะเดียวกันเพลงป็อปที่ส่งออกจากเกาหลีประสบความสำเร็จในระดับสากลในด้านชื่อเสียงและ K-Pop กลายเป็นอะไรที่เข้าถึงได้มากขึ้น  ขอบคุณช่องทางอย่าง Youtube และ Instagram– ผู้ชมในงานใหม่ของพวกเขาก็ใหญ่ขึ้นและหลากหลายกว่าแต่ก่อน

“ผมรู้สึกมีความรับผิดชอบมากขึ้น” ยุนโฮกล่าว “ทั้งโลกกำลังให้ความสนใจ”

Source: Wmagazine.com

สัมภาษณ์ ยูโน ยุนโฮ (#TVXQ) ELLE Korea August Issue 2020

Q. ได้ยินว่าช่วงนี้คุณออกกำลังหรอคะ ? 

ยุนโฮ: นี่เป็นการตัดสินใจเทรนด์ร่างกายครั้งแรกเลยครับ  ผมอยากจะปรับปรุงสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว  และด้วยความคิดนี้เลยเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจังครับ

Q. เมื่อหน้าร้อนปีที่แล้วคุณได้ปล่อยโซโล่อัลบั้มแรกของตัวเองซึ่งเป็นการออกโซโล่ครั้งแรกหลังจากเดบิวต์มา 16 ปี

ยุนโฮ: ผมทำกิจกรรมในฐานะทงบังชินกิมามากว่าทศวรรษแล้ว  รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างเป็นมืออาชีพในแวดวงนี้  พอได้มีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้และเมื่ออายุมากขึ้นก็อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ  ไม่ต้องทำการตลาดใด ๆ และไม่สำคัญด้วยซ้ำว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือไม่  แน่นอนว่ามันก็ดีถ้าผลมันออกดี  โซโล่ที่สองจะถึงถูกปล่อยออกมาหลังจากนี้ไม่นานครับ  ตอนนี้เรากำลังหาเวลาที่เหมาะสมอยู่

Q. มีอะไรที่คุณตระหนักได้หลังจากโปรโมตอย่างแอคทีฟมาเป็นทศวรรษ ?

ยุนโฮ: สิ่งที่อยากทำและสิ่งที่ทำได้ดีเป็นรูปธรรมมากขึ้นในใจผม  ผมได้ดูวีดีโอที่ผมชนะการเต้นในการออดิชั่น SM BEST ตอนที่ตัวเองอายุ 16 ปี  ในตอนนั้นผมอายมาก  มือและขาสั่นไปหมด  ในตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนนะครับ  ผมอยากทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ  อยากจะทำลายข้อจำกัดตรงนั้น

Q. คุณคิดยังไงกับความคาดหวัง การจินตนาการ และความอคติต่าง ๆ 

ยุนโฮ: กับเรื่องราวเหล่านั้น ผมเคยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกพวกนั้นนะ  เวลาได้ยินคนพูดว่า “ยุนโฮเต้นเก่งจัง” ผมจะอยากฝึกเรื่องการร้องเพลงให้หนักขึ้นไปอีกเพื่อสร้างความประทับใจในศักยภาพการร้องของผม  ผมอยากให้สาธารณชนพูดว่า “ยุนโฮร้องเพลงพวกนี้ได้นะ”

Q. ก่อนหน้านี้คุณได้จัดคอนเสิร์ต “Beyond Live” เมื่อได้กลับมาเช็ควีดีโอแล้วคุณให้ความสนใจกับอะไร ?

ยุนโฮ: ผมจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่เป็นกลางเพื่อดูว่าตัวเองได้ดื่มด่ำกับการแสดงอย่างเต็มที่หรือไม่  ผู้ชมจะรู้สึกได้อย่างรวดเร็วหากการแสดงนั้นเข้าถึงพวกเข้าได้  นี่ไม่สามารถรอดพ้นสายตาผู้ชมได้เลยครับ

Q. มีข้อจำกัดอะไรในการสื่อสารไปยังผู้ชมทางออนไลน์หรือไหม ?

ยุนโฮ:  แม้ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตรูปแบบนั้น เราก็ต้องทำให้ผู้ชมกรี๊ดออกมาให้ได้ครับ  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เลย  แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันนี้ผู้ชมสามารถเข้าใจได้ว่าผู้แสดงต้องการจะสื่ออะไรผ่านทางวีดีโอครับ  เพราะว่าทุกคนได้ปรับตัวอย่างช้า ๆ เพื่อรับชมการแสดงผ่านทางหน้าจอ  มีแพลตฟอร์มออนไลน์ในรูปแบบนี้เยอะเลยครับ

Q. มีแนวคิดอะไรที่คิดเอามาใช้สำหรับคอนเสิร์ตออนไลน์ ?

ยุนโฮ: ถ้าทำการแสดงออกมาให้ดีที่สุดผู้ชมจะสามารถรู้สึกถึงมันได้และปรบมือให้ผม  เหมือนกันครับ  ถ้าผมรู้สึกไม่ค่อยดีก็ไม่อยากให้ผู้ชมคิดว่า “ยุนโฮไม่สบายหรือเปล่านะ ?” ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าต้องเข้าใจผมเพราะผมไม่สบายแล้วกลายเป็นว่าการแสดงนั้นไม่ดี

Q. คุณเข้มงวดกับตัวเองมาก  คุณเห็นด้วยไหมว่าตัวเองเป็นแบบนั้น ?

ยุนโฮ: ตรงกันข้ามเลยครับ  ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองทำได้ดีก็เลยต้องพยายามต่อไป  ผมมองว่ามันเป็นงานอดิเรกด้วยนะเพราะนี่คือสิ่งที่ผมอยากก้าวข้ามมันไป

Q. สิ่งที่คุณแสดงบนเวทีและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่นั้นเป็นแรงจูงใจของใครหลายคน  คุณคิดยังไงจากการเรียนรู้ฟีดแบ็คเหล่านั้น ?

ยุนโฮ: ผมได้รับคีย์เวิร์ดที่เข้ากันกับยุคนี้โดยบังเอิญ – Passionate (adj. กระตือรือร้น) ผมที่ยังดีไม่พอสามารถสร้างอิทธิพลด้านบวกให้คนอื่นได้ทำให้รู้สึกเป็นเกียรติมากครับ  ผมคิดมาตลอดว่าผู้คนรอบตัวทำให้ผมกลายเป็นผมในแบบนี้  แฟน ๆ ที่สนับสนุนผมและทงบังชินกิมาโดยตลอดตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็กนักเรียนก็ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  บางคนก็อาจจะกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่ของลูก ๆ  การที่พวกเขาสนับสนุนผมอย่างขันแข็งมันทำให้ผมมีแรงบันดาลใจครับ  ความจริงที่ว่าผมมีอิทธิพลด้านบวกต่อคนอื่นนั้นกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ทำงานหนักต่อไปครับ

Q. ความจริงที่ว่าคุณทำงานหนักมาตั้งแต่อายุ 16 ปี

ยุนโฮ: ใช่ครับ  ผมทำงานอย่างเต็มที่มาโดยตลอด  ผมเคยชินกับการทำงานหนักโดยไม่ต้องตั้งเป้าหมายใด ๆ  แต่ ณ ตอนนี้  ผมมีเหตุผลที่เป็นรูปธรรมสำหรับตัวเองแล้ว  คือ  การทำงานหนักต่อไปเรื่อย ๆ นี่คือความแตกต่างครับ

Q. คุณได้ทำแบบทดสอบบุคลิก MBTI หรือยัง ?

ยุนโฮ: ทำแล้วครับ  ได้ผลลัพธ์ออกมา 2 อย่าง หนึ่งในนั้นคือ ENTJ

Q. มีคุณลักษณะของ ENTJ ข้อไหนที่ไม่ได้ตรงกับคุณเลยไหม ?

ยุนโฮ: “ผู้นำโดยธรรมชาติ  ชอบการเปลี่ยนแปลง  แผนการที่เป็นรูปธรรม” พวกนี้ตรงกับผมครับ  ผมมีการวางแผนและชอบวางแผนในขณะเดียวกันก็คาดเดาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม  “ให้ความสนใจทั้งหมดไปยังสิ่งใดสิ่งหนึ่ง”  นี่ก็ตรงครับ  ผมทำหลาย ๆ อย่างไม่ได้ (mult-task) ผมจะจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียวแล้วรีบทำมันให้เสร็จโดยเร็ว  งานแต่ละอย่างจะแล้วเสร็จไปได้อย่างรวดเร็ว  นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่คนอื่นคิดว่าผมเป็นทำหลายอย่างพร้อมกันก็ได้  มีอีกอย่างครับ – “พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา”  นี่ก็ตรงกับผมเหมือนกัน  เวลาผมอยู่คนเดียวมีแนวโน้มว่าจะพูดคุยกับตัวเองครับ “ยุนโฮจะทำได้ไหม ? นายต้องทำมันนะ  นายควรทำมันนะ” คำเหล่านี้จะถูกพูดออกมาเป็นแรงกระตุ้นให้ผมทำมันครับ  นี่เป็นกระบวนการที่ผมฝึก  แต่ก็ไม่ได้ทำเยอะเกินไปนะครับเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าผมแปลก (หัวเราะ)

Q. คำคมมากมายของคุณได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรง  เวลาที่คุณไปรายการต่าง ๆ ผู้ร่วมรายการจะขอให้คุณพูดคำคมให้ฟัง

ยุนโฮ: จริงครับ ผมถูกขอให้พูดคำคม  โดยพื้นฐานแล้วมาจากความคิดของผมที่คิดได้หลังจากพบเจอหลาย ๆ อย่างด้วยตนเอง คนอื่นเห็นด้วยกับคำคมพวกนั้นอย่างรวดเร็ว  แน่นอนว่าผมจำวลีพวกนั้นมาจากภาพยนตร์ด้วยครับ และมีจากทีวีหรือการ์ตูนที่มอบความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้ผม

Q. คำคมที่สัมผัสหัวใจเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกันอย่างไร ?

ยุนโฮ: ปณิธาน ไม่ยอมแพ้  ผมคิดเสมอว่าตัวเองไม่ได้พิเศษนั่นคือเหตุผลที่ผู้คนชอบผม  อาจารย์อีซูมานเคยบอกไว้ว่า เปรียบเทียบคนที่มีพรสวรรค์และคนขยันทำงานหนัก คนที่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำจะได้เปรียบกว่า  ผมคิดว่าประโยคนี้ไม่ได้นิยามตัวผมเท่าไหร่ครับ  คนที่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำเป็นอย่างไรน่ะหรอ ? ผมพยายามทำมันเหมือนกันนะ  การขยันทำงานมันไม่ง่ายเลย  แต่ถ้าผมรักษามันไว้ได้นี่ก็จะเป็นอะไรที่น่าสนใจ  พอสิ่งนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจแล้ว  ผมก็ได้ตระหนักว่าต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น  นี่คือสิ่งที่ผมจินตนาการไว้  ด้วยเหตุนี้ผมจึงหลงรักประโยคนั้น  คำที่เกี่ยวพันกันแพชชั่นและการไม่ยอมแพ้มันสัมผัสใจผมจริงๆ เพราะผมได้พบเจอสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเองแล้ว

Q. อะไรที่ทำให้การประดิษฐ์กลายเป็นงานอดิเรกของคุณ ?

ยุนโฮ: จากความคิดที่ว่า “นี่มันไม่ค่อยสะดวกเลย มันต้องมีทางที่ดีกว่านี้นะ”  ผมชอบแก้ไขปัญหาและพัฒนาปรับปรุง  ระหว่างกระบวนการนั้นก็จะมีการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ด้วย ผมชอบประสบการณ์อะไรแบบนี้ครับ  

Q. อะไรที่ทำให้คุณตื่นเต้นในช่วงนี้ ?

ยุนโฮ: การถ่ายทำ Seoul Village Guy ผมได้กลับควังจูหลังจากที่ไม่ได้กลับไปนาน ผมได้จัดการรวมตัวสมาชิกกลุ่มเต้นช่วง ม.ต้น หลังจากเวลาผ่านไป 18 ปี  สมาชิกเตรียมเซอร์ไพรส์อยู่ข้างหลังผม  ขนลุกเลยครับ  เราเต้นเพลงที่เคยแสดงด้วยกันตอนอยู่โรงเรียนด้วย   

Q. ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายเลยที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนโรงเรียนหลังจากที่เวลาผ่านไปนานมากแล้ว

ยุนโฮ: จะมีคนกลุ่มนึงที่จำได้ว่า ชองยุนโฮ แต่ก่อนเป็นยังไง  และนี่เป็นสิ่งที่มีค่ามาก  เป็นสิ่งที่สนับสนุนผมอย่างให้ความวางใจได้  เพื่อน ๆจะบอกเสมอว่า “เพื่อนคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลย เขาก็ยังเหมือนเดิม ตอนนี้ทำไมเขาถึงไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ?”

 Q. ฉันได้ยินว่าเวลาคุณไม่สบอารมณ์  คุณจะไปที่สวนสาธารณะในควังจู

ยุนโฮ: ถ้าผมไปที่นั่น  ปกติจะไปและกลับในวันเดียวกัน  เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องตัดสินใจในเรื่องใหญ่ ๆ ผมจะไปสวนสาธารณะเพื่อคิดไตร่ตรองครับ

Q. ฉันได้ยินว่าคุณดูเรื่อง The Greatest Showman ไปหลายรอบ  คุณไม่เคยร้องไห้เลยเวลาที่ดูทีวีหรือภาพยนตร์  แต่เมื่อคุณได้ดูบางฉากใน The Gift ที่แสดงโดยนักแสดงตลกท่านหนึ่งซึ่งยังไม่โด่งดังหลังจากที่เขาเดบิวต์มา 5 ปี คุณกลับร้องไห้ออกมา     

ยุนโฮ: ตัวละครหลักทั้งสองเรื่องคือคนที่ทำงานบนเวทีครับ  แต่บ่อยครั้งที่มันมีความแตกต่างระหว่างภาพลักษณ์ที่คนแสดงออกมาต่อผู้ชมกับภาพลักษณ์จริง ๆ ของตัวบุคคลนั้น ๆ  มีความแตกต่างระหว่างคนดังกับมืออาชีพ  เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นคนดังแล้วผมอยากจะเป็นมืออาชีพในจุดที่ผมอยู่มากกว่า

Q. ชุดความคิดใดที่คุณอยากมีเพื่อความเป็นมืออาชีพในแวดวงของคุณ ?

ยุนโฮ: ผมอยากเป็นคนที่มีมานะ อุตสาหะต่อไปเรื่อย ๆ เป้าหมายคือการรักษาความ “ING” นี้ไว้  แม้ว่าวันนึงผมจะหยุดพักอย่างจริงจัง  ผมก็ไม่อยากที่จะให้ตัวเองหยุดอยู่กับที่อย่างสมบูรณ์หรอกครับ

Q. เคยคิดไหมว่าสเตจครั้งสุดท้ายของตัวเองจะเป็นแบบไหน ?

ยุนโฮ: ผมชื่นชม ไมเคิล แจ็คสัน มาโดยตลอด  กิจกรรมที่เขาทำครั้งสุดท้ายคือตอนอายุ 50 ปี  แน่นอนว่าศักยภาพและตำแหน่งของเขาอยู่ไกลจากผมมาก  แต่ผมอยากจะแก่กว่าเขาซัก 1 ปี  และมีสเตจของตัวเองครั้งสุดท้ายตอนอายุ 51 ปี  ณ  ตอนนั้นคงเชิญเพื่อนสนิทมาดูการแสดง  ไม่สำคัญว่าเวทีจะใหญ่แค่ไหน  ไม่เป็นไรถ้ามันจะไม่ได้เลิศหรูอะไร

Credit: ELLE Korea

English Translation: yunhojyachi

Thai Translation: fe_nikkusu (UKNOW2theMAX)

สัมภาษณ์ แม็กซ์ ชางมิน (TVXQ!) Vogue Korea March 2022

Q. คุณกำลังอ่านหนังสืออยู่เลย  ฉันรู้มาว่าคุณคือนักอ่านตัวยงแต่ก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณอ่านเล่มนี้

ชางมิน: ทุก ๆ ต้นปี  ผมจะติดตามเทรนด์ต่าง ๆ ครับ  เป็นแบบนี้มา 3-4 ปีแล้ว  ช่วงกลางปีผมก็จะทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน  แต่มันไม่ง่ายเลยครับ     

Q. คุณสนุกกับการอ่านหนังสือมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มากกว่าหนังสือวรรณกรรมใช่ไหม?

ชางมิน: ใช่ครับ  เมื่อถึงจุดนึงผมพบว่ามันน่าสนใจขึ้นครับ  ไม่ว่าจะดูข่าวหรือภาพยนตร์ผมยิ่งได้เรียนรู้มากเท่าไหร่  มุมมองและการตีความก็จะหลากหลายมากขึ้นไปอีก  ผมจะไม่ได้มองแค่มุมใดมุมนึงแต่จะมองไปยังผลที่ตามมาด้วย  ผมพยายามที่จะไม่มีมุมมองที่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป

Q. บนโซเชียลมีเดียจะมีแค่สิ่งที่คุณอยากดู  หรือยูทูบที่จะแนะนำวีดีโอจากสิ่งที่คุณชอบเป็นหลัก  ทุกวันนี้เราได้ยินเฉพาะเรื่องที่เราอยากฟัง  และเป็นเพื่อนกับคนที่มีมุมมองคล้ายกัน

ชางมิน: ผมเห็นด้วยครับ  อัลกอริทึ่มจะโชว์แค่สิ่งที่คล้าย ๆ กับที่เราเคยดูไปแล้ว  มันก็สะดวกไปอีกแบบแต่มันก็ง่ายมากที่จะทำให้เราสูญเสียความหลากหลายไป  แม้จะต้องใช้ความพยายามแต่ก็ต้องลองมองหาความคิดเห็นที่แตกต่างด้วย

Q. จาก “Devil” สู่ “Fever” การโปรโมตมินิอัลบั้มที่สองไใกล้สิ้นสุดลงแล้ว  นี่เป็นโซโล่อัลบั้มในรอบ 1 ปี 9 เดือน  ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่?

ชางมิน: แน่นอนว่าผมไม่ได้พอใจไปกับทุกอย่างหรอก แต่ก็มีความสุขกับมันนะ การทำอัลบั้มนี้ใช้เวลาไป เป็นปี  และใช้เวลามากมายไปกับการเลือกเพลง  เพราะตอนนี้ที่บริษัทก็มีศิลปินหลายคนเลยต้องมีการหลีกให้กันในเรื่องการปล่อยอัลบั้ม  ผมไม่ได้อยากถูกผูกมัดด้วยสิ่งนั้น  อยากจะทำอัลบั้มที่ตัวเองพึงพอใจแม้ว่ามันจะใช้เวลานานก็ตาม  ผมกลัวว่าตัวเองจะดูเหมือนหยุดนิ่งหรือกำลังเข้าสู่ความเบื่อหน่าย  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะ “อินเทรนด์” หรือไม่ก็ตาม ผมก็ได้ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อยกระดับคุณภาพคอนเทนท์ของตัวเองแล้ว

Q. แล้วคุณคัมแบคตอนที่ตัวเองพอใจ 100% หรือเปล่า?

ชางมิน: เพลงป็อบไม่ใช่สิ่งที่คุณทำเพื่อให้ตัวเองพึงพอใจหรือปลอบประโลมตัวเองหรอกครับ  ผู้ฟังควรเชื่อมโยงได้และชอบมันด้วย  ถึงแม้ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้ชอบมันผมก็ไม่เสียใจเลยครับ  กลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าที่แฟน ๆ คนที่ฟังเพลงจริง ๆ บอกว่าชอบมัน  ผมรู้สึกขอบคุณมากสำหรับคำวิจารณ์ที่ว่า “นี่เป็นเพลงที่มีแค่ แม็กซ์ ชางมินเท่านั้นที่ทำได้ และมันก็เป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมด้วย”

Q. ฉันได้สัมภาษณ์คุณโบอาและเราพูดอะไรที่มีความคล้ายคลึงกัน  นั่นคือเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ในสังคมที่หลายหลายนี้  ถ้าหากคุณได้ทำเพลงที่ตัวเองมีความสุขและแฟน ๆ ชอบมันด้วย  นั่นก็เพียงพอแล้ว

ชางมิน: เห็นด้วยทุกประการครับ

Q. คุณเป็นคนเขียนเนื้อเพลง “Devil” เอง  มันสื่อออกมาราวกับว่าคุณได้พบคำตอบในบางสิ่งที่คุณกำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ เนื้อเพลงบอกเล่าเรื่องราวของคุณที่ทำลาย ‘ปีศาจ’ ที่ตามหลอกหลอน ปีศาจตัวนั้นสำหรับคุณคืออะไร?

ชางมิน: ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองเขียนเนื้อเพลงเก่งนะครับ  ผมไม่รู้วิธีการแสดงสีสันของตัวเองผ่านบทเพลง  หรือเสียงร้องแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง  หรือแม้แต่ ‘ตัวผม’ ที่พยายามแสดงออกมานั้นเกิดหยุดชงักไปทั้ง ๆ ที่ควรจะโชว์ให้เห็นว่าตัวเองกำลังก้าวไปข้างหน้าอยู่ นั่นคือปีศาจของผมครับ 

Q. ฉันอ่านสัมภาษณ์หลายอันเลย  คุณมักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นใคร  และควรสื่อสารกับสาธารณชนอย่างไร ดูเหมือนว่าคุณยังคงคิดหาวิธีอยู่

ชางมิน: มันเป็นแบบนั้นครับ  เป็นคำถามที่เกิดขึ้นตลอด

Q. ช่วงนี้คุณแอคทีฟบนยูทูบด้วย  คุณไปปรากฏตัวในช่อง “Dr. Friends” and “354 channel” ที่ไม่ใช่ช่องของคนดัง  คุณรู้สึกว่ามีอะไรที่แตกต่างไปจากการโปรโมตก่อนหน้านี้ไหม?

ชางมิน: ผมเลือกรายการที่จะไปออกเองทั้งหมดครับ  เนื่องจากทุกวันนี้มีช่องทางที่หลากหลาย  แต่ละคนสามารถมีบริษัทออกอากาศของตนเองได้  ผมอยากจะให้การโปรโมตนี้อยู่ในช่องทางที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง  และแทนที่จะวิ่งตามตัวเลขผมอยากจะทำในสิ่งตัวเองชอบมากกว่า  เหมือนว่าผมพูดอะไรแบบนี้ซ้ำซากนะแต่ผมไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะเห็นผมในด้านบวกเพียงอย่างเดียว  ผมคิดว่าถ้าตัวเองไปออกรายการที่ชอบแล้วล่ะก็คนที่มีความชอบคล้าย ๆ กันคงสนใจในตัวผมมากขึ้นด้วย  ผมอาจจะดูมั่นใจที่จะพูดนะ  แต่ผมโปรโมตด้วยวิธีที่ที่เพิ่มความสัมพันธ์กับคนที่สนับสนุนและต้องการสื่อสารกับผมแบบสูงสุดเลยล่ะ

Q. คุณค่อนข้างแอคทีฟในรายการวาไรตี้เกี่ยวกับงานอดิเรกของคุณ ซึ่งก็คือการทำอาหาร คุณถ่ายรายการ “Bistro Shigor” เสร็จในเดือนมกราคม ตอนนี้มีแผนอะไรบ้าง?

ชางมิน: ถ้าได้รับโอกาสอีกผมก็อยากจะจริงจังกับมัน  แต่ตอนนี้อยากจะให้เวลากับตัวเองครับ  การทำแบบนี้เวลาไปออกรายการใดรายการนึงจะสามารถโชว์ความลึกซึ้งของตัวเองออกไปได้  ผมต้องโฟกัสไปที่เรื่องใดเรื่องนึงเพื่อเวลาที่คนได้ฟังเรื่องราว ได้ดูการกระทำ  หรือเห็นการทำอาหารของผมจะมีความเชื่อถือกับมันครับ ผมคิดว่าทุกวันนี้คุณต้องจริงใจอย่างถ่องแท้จึงจะเข้าใจบางอย่างได้  มีคนชื่นชอบการทำอาหารอยู่มากมายก็เลยเกิดรายการที่คล้ายกันอยู่ทุกที  – แต่ในจำนวนนั้น จะมีเฉพาะคนที่รักในการทำอาหารอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงความหลงใหลของพวกเขาได้ ผมอยากเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นครับ

Q. นอกจาการทำอาหารแล้ว  มีอะไรที่อยากเรียนรู้อีกบ้าง?

ชางมิน: คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นข้ออ้างเพื่อการดื่มนะ  แต่ผมอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างของแอลกอฮอล์  คิดว่าจะลองปีนี้แหละครับ

Q. คุณชื่นชอบไวน์มานานแล้ว  ฉันเดาว่าตอนนี้คุณอยากศึกษาประวัติศาสตร์และสูตรของแอลกอฮอล์ประเภทต่าง ๆ ด้วย

ชางมิน: มีอะไรมากมายให้ผมได้เรียนเลยล่ะ  ในฐานะคนบันเทิงผมรู้สึกขอบคุณที่งานยุ่งนะ แต่ถ้าต้องพูดอะไรที่ดูไม่ดีหน่อย ณ จุดหนึ่งก็จะบอกว่าผมต้องกระหายที่จะเรียนรู้เพื่อจะได้พัฒนาตัวเองต่อไป

Q. คุณบอกว่าตัวเองได้รับพลังจากการทำงานในฐานะผู้ให้บันเทิง  แต่การทำแบบนั้นคุณต้องใช้เวลาหลายส่วนในชีวิตเลย  นั่นหมายความว่าคุณต้องการเวลาเพื่อเติมเต็มส่วนที่ว่างเปล่านั้นหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าเราจะต้องรอนานอีกซักนิดกว่ามินิอัลบั้มที่ 3 จะปล่อยออกมานะ 

ชางมิน: ผมต้องหาเวลาสำหรับงานนอกพวกนั้น  แล้วอัลบั้มผมก็ – ผมตั้งใจทำมาตลอดอยู่แล้ว

Q. ฉันได้ยินว่าคุณเขียนบันทึกและนั่นก็พัฒนาไปสู่เนื้อเพลง คุณชอบอะไรเกี่ยวกับการจดบันทึก แล้วทำให้มันกลายเป็นความอมตะในรูปแบบของเนื้อเพลง?

ชางมิน: ผมชอบที่ได้ใช้เวลาปล่อยอารมณ์ไปตามความรู้สึกในวันนั้นและปลอบโยนตัวเอง ผมไม่ใช่คนเจ้าระเบียบดังนั้นจึงไม่ได้ทำมันทุกวัน แต่พอค่อย ๆ เขียนไปก็จะสงบและนิ่งมากขึ้น รู้สึกว่าความคิดเป็นระเบียบมากขึ้นครับ

Q. ฉันว่านี่เป็นเสน่ห์ของการเขียนด้วยลายมือ  การพิมพ์อาจจะเร็วกว่าแต่คุณจะมีเวลาคิดอีกครั้งเมื่อคุณเขียนด้วยลายมือ

ชางมิน: สังคมอยากให้คุณเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย  แต่ผมคิดว่าการใช้เวลาช่วยเรื่องภาวะอารมณ์ด้วยครับ

Q. เคยกลับไปอ่านเรื่องเก่า ๆ ไหม?

ชางมิน: บางครั้งครับ  พออ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าอาย  ดูเด็ก ดูปลอม  แต่บุคลิกผมยังเหมือนเดิมนะครับ

Q. คุณเคยคิดว่า “ว้าว ไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองเคยคิดแบบนี้” บ้างไหม?

ชางมิน: มีบางความคิดเก่า ๆ ของผมค่อนข้างน่าสนใจครับ  แต่ผมเชื่อว่าตัวเองจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ หากมองย้อนกลับไป

Q. แล้วในอนาคตคุณจะเขียนเนื้อเพลงต่อไปไหม ?

ชางมิน: ผมไม่มีความอยากที่จะเขียนเรื่องราวของตัวเองเป็นเนื้อเพลงขนาดนั้นหรอกนะครับ  บางคนอาจจะบอกว่ายิ่งเนื้อเพลงมีความเป็นส่วนตัวมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งก้าวหน้าในฐานะศิลปินที่มีวิสัยทัศน์มากขึ้นเท่านั้น  แต่มันไม่ได้ง่ายเลยที่มันจะเชื่อมโยงไปถึงคนอื่นตลอด  และสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นทั้งขาวกับดำ  เหมือนคุณอยู่ข้างผมหรือมีด้านของตัวเอง  พูดจริง ๆ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างประหม่าครับ เลยระวังนิดนึงที่จะเติมเต็มเพลงและเนื้อเพลงด้วยเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองเพียงอย่างเดียว

Q. อัลบั้มนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องที่แตกต่างของ แม็กซ์ ชางมิน  ไม่ใช่แค่ระหว่างเพลง  แต่มีความต่างของเสียงร้องในเพลงนั้น ๆ ด้วย 

ชางมิน: ตอนนี้ผมเบื่อมากเวลาฟังเพลง 3-4 นาทีแล้วมีแค่การใช้เสียงแบบเดียว  เหมือนมี ต้นเพลง-กลางเพลง-จบเพลง รวมกันเป็นเพลงนึง  ผมคิดว่าเสียงร้องควรมีไดนามิก (ความหนักเบา) จากเบาไปหาหนัก  ไม่รู้ว่านี่เป็นคำอุปมาที่สมบูรณ์แบบหรือเปล่านะ คนเราชอบความเงียบสงบครับ  ทะเลมีคลื่นลมสงบ  แต่พวกเขาก็ได้ค้นพบว่าเรื่องราวที่คาดเดาไม่ได้ของทะเลนั้นน่าสนใจกว่าอีก   เขายังชอบงานที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากกว่างานที่กลมกล่อมซึ่งมีเพียงแค่ความไร้เดียงสาและความสวยงาม

Q. เรื่องราวที่ประกอบไปด้วยการผจญภัย  วิกฤตการณ์  และการตัดสินใจ

ชางมิน:  ผมต้องโชว์ความหลากหลายด้วยครับ  ต้องเรียนรู้เทรนด์ต่าง ๆ และเรื่องอื่น ๆ ที่ผมไม่รู้เพื่อการอยู่รอดที่ยาวนานในฐานะศิลปิน  คุณพัคจินยองเคยพูดบางอย่างที่คล้ายกันก่อนหน้านี้ -เขามั่นใจว่าจะเป็นศิลปินต่อไปจนถึงวัย 60  ถ้าผมจะเป็นศิลปินเพลงป็อบแล้วล่ะก็  ผมมีหน้าที่ที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป  ทุกวันนี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปเร็วมากบางทีมันก็ยากที่จะตามให้ทัน  แต่ผมก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่นะ

Q. แม็กซ์ ชางมิน จะไม่หยุด

ชางมิน: เป็นทางเดียวที่จะอยู่รอดครับ  ไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนรักแต่ผมอยากให้เพลงของตัวเองยังคงมีการเคลื่อนไหวและพัฒนาต่อไป

Q. ในงานแถลงข่าว “Devil” คุณบอกว่า “ผมคิดมากเรื่องเหตุผลที่ว่าทำไมตอนนี้ถึงยังเป็นนักร้องอยู่ และจะเป็นไปนานขนาดไหน”

ชางมิน: ความคิดนี้มันชัดเจนมากกว่าแต่ก่อนซะอีกครับ เหตุผลที่ผมยังอยู่ตรงนี้คือแฟน ๆ ที่สนับสนุนและชื่นชอบเพลงของผม ถ้ามันไม่ใช่เพื่อพวกเขาแล้วล่ะก็ผมคงเลิกเป็นนักร้องโดยที่ไม่เสียใจอะไร แม้แต่ ณ เวลานี้ นี่ผมพูดแบบซอฟท์ที่สุดแล้วนะครับ บางคนได้ยินแล้วอาจจะคิดว่าผมไม่อยากเป็นนักร้องแล้วล่ะ แต่มันหมายถึงผมรู้สึกทั้งหมดในฐานะนักร้องที่ชื่อว่า แม็กซ์ ชางมิน นั้นมีอยู่ได้เพราะแฟน ๆ ผมเป็นนักร้องเพลงป็อบครับ – หากไม่มีแฟนคลับแล้วนั่นหมายความว่าชีวิตนักร้องของผมจบลงแล้ว และควรหยุดร้องเพลงซะ การมีอยู่ของคนที่สนับสนุนผมคือ… มันอาจจะดูเป็นการประจบประแจงนะครับ แต่ก็เหมือนกับหัวใจของผม หากไม่มีพวกเขาแล้วมันคงไม่ใช่การกล่าวเกินจริงที่จะบอกว่าชีวิตการเป็นนักร้องของผมมันจบสิ้นแล้ว แน่นอนว่าผมต้องเติบโตต่อไป ถ้าไม่มีใครอยากรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมแล้ว นั่นหมายความว่าผมตามการเปลี่ยนแปลงและกระแสต่าง ๆ ไม่ทันและอยู่ในภาวะหยุดนิ่ง

Q. ไม่มีอะไรที่เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวแต่พวกเขาก็รักคุณที่เป็นแบบนั้น – น่าทึ่งใช่ไหม? แม้ว่าบางคนจะมองข้ามมันไป

ชางมิน: เมื่อเวลาผ่านไปผมก็รู้สึกมากยิ่งขึ้นไปอีก  แน่นอนว่ามีบางคนที่สนใจผมตอนที่ยังเป็นเด็กใหม่ การร้องเพลง  การเต้นอะไรแบบนี้ แต่ความจริงที่ว่าแม้ภายนอกผมจะเปลี่ยนไปและสถานการณ์ของเราก็เปลี่ยนไป แต่การที่พวกเขายังสนับสนุนผมอย่างไม่เปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งมีค่ามาก ผมไม่ควรหลงไปกับความเคยชินจนลืมว่ามันมีค่าเพียงใด

Q. ยังมีอีกด้านหนึ่งของการเป็นผู้ให้ความบันเทิง

ชางมิน: มีสุภาษิตนึงบอกไว้ว่า “กบตายเพราะหินที่ขว้างโดยไม่ตั้งใจ”(t/n: เราแปลตรงตัวเลยนะคะ) ไม่ว่าผมจะถูกก้อนหินขว้างใส่ซักกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกชินกับมันเลย ในขณะที่มีคนที่ชอบผมก็มีคนที่เกลียดผมโดยไม่มีสาเหตุด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปค้นหาคอมเมนต์พวกนั้นแต่บางทีก็ได้เห็นมันเองแบบช่วยไม่ได้  ความเคารพตัวเองลดลงและชีวิตก็รู้สึกเหมือนเจ็บปวด แต่ผมก็สามารถก้าวข้ามผ่านมันมาได้และคิดว่างานของผมนั้นเป็นสิ่งล้ำค่า  ขอบคุณแฟนๆด้วยนะครับ

Q. คุณเคยพูดว่าอยากจะทำงานไปอีกในระยะยาว เหมือนสายฝนโปรยปราย ฉันสงสัยค่ะ เนื่องจากคุณทุ่มเทแพชชั่นไปตั้งแต่ยังเด็ก คุณไม่คิดหรอว่าพอโตขึ้นหรือตอนมีเวลาว่างก็อยากจะพักซักหน่อย?

ชางมิน: ผมรู้สึกดีที่สิ่งที่ผมชอบนั้นมันคืองานของผม  แน่นอนว่ามีบางครั้งที่มันเครียดและอยากจะหนีมันไป  ผมได้อะไรจากการทำงานเยอะแยะเลย  มีผู้คนมากมายที่ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักแม้ว่าพวกเขาจะสุขสบายทางด้านการเงินอยู่แล้ว  ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองต้องการความรักหรือความสนใจมากมายในฐานะนักร้องยอดนิยมของยุคนี้หรอกนะ  ที่ผมต้องการคือการมีส่วนร่วมอย่างมีเต็มที่ในงานของตัวเองไปอีกนาน ๆ  รู้สึกขอบคุณที่ตัวเองมีงานที่เข้ากันได้กับสิ่งนั้น             

Q. อีกความหมายนึง  มันคืองานที่ไม่มีวันเกษียณ

ชางมิน: แม้ว่ามันจะเป็นงานที่ต่ำต้อยผมก็จะยังทำงานตลอด  เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมครับ  พวกเขาต้องพบเจอกับอารมณ์หลากหลายที่เกิดขึ้นในการทำงานและมนุษยสัมพันธ์ตรงนั้น  ถ้าคุณใช้ชีวิตโดยปราศจากความกระหายเหล่านั้น…  พูดแบบง่าย ๆ ก็คือแสดงว่าชีวิตคุณจบสิ้นแล้ว ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองจะไปไล่ตามความดึงดูดเย้ายวนใจอะไรนะครับ แต่ผมต้องการทำงานหนัก  ในขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและเงียบสงบไปด้วย

Credit: Vogue Korea 

English Translation: janietvxq

Thai Translation: fe_nikkusu (UKNOW2theMAX)

แปล | สัมภาษณ์ AERA July 2022

เราไม่ได้มีแค่สองคน

พลังการขับเคลื่อนคือความรักของคุณ

โทโฮชินกิ  19 ปี แห่งความท้าทายและดำรงไว้

ชางมิน: ผมดูวีดีโอตีกอล์ฟเยอะเลยครับ  ดูเรื่องวงสวิงเป็นแบบไหน  อุปกรณ์ซ้อมเป็นยังไง  แล้วก็เอามาเป็นตัวอย่างน่ะครับ

ยุนโฮ: ชางมินทำให้ผมนึกถึงตอนที่เราไปตีกอล์ฟที่ญี่ปุ่น  เราเริ่มเล่นกอล์ฟตอนที่มาญี่ปุ่นไม่ได้ครับ

ชางมิน: ผมเพิ่งเริ่มเล่นเมื่อปีที่แล้วนี่เองครับ  ผมอินกับกอล์ฟเพราะคนรอบๆตัวแนะนำเรื่องนี้น่ะครับ  แล้วก็เลยได้ชวนพี่ยุนโฮมาเล่นด้วยเพราะมันสนุก  พอมาคิดดูแล้วเราไม่ค่อยมีความสนใจหรืองานอดิเรกที่ตรงกันเท่าไหร่ ผมก็เลยคิดว่า “ผมอยากให้เราเล่นด้วยกัน”

ยุนโฮ: ชางมินชวนผมครับ (หัวเราะ)  มีเพื่อนบางคนเล่นกอล์ฟนะครับแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะชอบหรอก  แต่พอชางมินเป็นคนชวนผมก็เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เล่นใช่ไหมครับ?  ผมเลยได้ลองและทันทีที่เริ่มเล่นมันก็สนุกมากๆเลยครับ

ชางมิน: เราสนุกกันมากเลยครับ ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าใครอินกว่ากัน

ยุนโฮ: ใช่เลยครับ  ชางมินเล่นเก่งมาก

ชางมิน: ผมดูวีดีโอตีกอล์ฟน่ะครับ  ที่พูดแบบนี้แต่จริง ๆ เราอยู่ระดับเดียวกันครับ

ยุนโฮ: ซักวันฉันอยากทำคะแนนได้ซัก 100 คะแนน  นายล่ะ?

ชางมิน: แทนที่จะระบุตัวเลขไปเลย  สำหรับผมแล้วเป็นประเภทที่ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน  แค่ได้เพิ่มทีละเล็กทีละน้อยไปวันต่อวัน

ยุนโฮ: (ปรบมือ) นั่นสำคัญที่สุด  มันเอาไปประยุกต์ใช้ในงานด้วย

Q. พวกคุณได้จัดงานแฟนคลับในเมืองใหญ่ เช่น โยโกฮามา และโอซาก้า ครั้งนี้เป็นการจัดอารีน่าทัวร์ 6 เมือง 21 รอบการแสดง ทำไมถึงเป็นอารีน่าทัวร์?

ยุนโฮ: พอคิดถึงความรู้สึกที่จะได้เจอแฟน ๆ เราคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการโชว์หน้าให้แฟน ๆ ได้เห็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  อย่างแรกเลยผมอยากจะทักทายพวกเขาแบบใกล้ ๆ สร้างความจำด้วยกัน  และทำการแสดงไลฟ์ อะไรแบบนั้นล่ะครับ

ชางมิน: เราไม่ได้ตั้งใจจะรวมตัวแฟน ๆ ในสถานที่ขนาดใหญ่หรอกครับ  แต่สิ่งที่น่าปลื้มใจที่สุดคือการที่เราได้พบเจอแฟน ๆ อีกครั้ง  แม้แต่คุณเองที่ไม่ได้เจอเพื่อน ๆ มาเป็นเวลาหลายปีมันก็ยากที่จะจูนความสัมพันธ์กันครับ  แต่กับแฟน ๆ ชาวญี่ปุ่นแล้วมันต่างออกไป   พวกเขาได้มอบความรักและการสนับสนุนพวกเราอย่างไม่มีเงื่อนไขใดเลย  มันเรียกว่าความรักครับ  และผมคิดว่าเราได้รับพร

ยุนโฮ: ในอีเว้นท์แฟน ๆ ส่งเสียงเชียร์ดัง ๆ แบบเมื่อก่อนไม่ได้นั่นทำให้ผมรู้สึกลุกลนครับ  แต่พอได้เห็นการแสดงสีหน้าภายใต้หน้ากากถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตะโกนก็ตาม  ผมก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่แรงกล้า  ตอนที่เราเดินไปรอบ ๆ ฮอลล์เพื่อทักทายรอบสุดท้าย  แฟน ๆ ก็ยังเงียบเสียงกันอยู่และโบกมือด้วยความรู้สึกที่สื่อผ่านดวงตา  บรรยากาศที่พวกเขาสร้างขึ้นมามันรู้สึกสบายใจมาก ๆ เลยครับ  ผมรู้ได้เลยว่าเป็นอีกครั้งที่สเตจของเราอบอุ่น  ผมไม่ค่อยได้พบเจออะไรแบบนี้มากนักก็เลยรู้สึกพิเศษครับ 

Q. พวกคุณเดบิวต์มา 18 ปีแล้ว  และมันไม่ง่ายเลยที่ยังรู้สึกมีแรงกระตุ้น/จูงใจมาเป็นเวลานานขนาดนี้  การได้ดูการแสดงของพวกคุณทำให้รู้เลยว่าเวทียังคงลุกเป็นไฟ

ยุนโฮ: ผมทำในสิ่งที่ตัวเองรักครับ  จริง ๆ แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะมีหลายคนที่ทำได้เหมือนกันนะ  เราต้องทำงานด้วยความขอบคุณและเราก็ได้รับความรักและการสนับสนุนเยอะแยะจากผู้คนมากมาย  ผมคิดว่านี่คือความรับผิดชอบต่อผู้คนรอบตัวที่มันหนักแน่นขึ้น  และนี่ก็เป็นแรงขับเคลื่อนที่อยู่ข้างหลังเรา “โทโฮชินกิ” ไม่ได้มีแค่เรา 2 คน ใช่ครับ มีผมกับชางมิน แล้วก็มีแฟน ๆ สต๊าฟ และผู้คนที่สร้างโทโฮชินกิขึ้นมาจนถึงตอนนี้  พอผมอายุมากขึ้นก็รู้สึกถึงเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น  ถ้าพูดจากใจจริงบางครั้งผมก็รู้สึกเหนื่อย  หดหู่  หรือบางทีก็อยากพักเพราะผมก็เป็นมนุษย์คนนึง  แต่พอได้เห็นหน้าแฟน ๆ จากบนเวทีแล้วมันรู้สึกถึงพลังมหาศาลเลยครับ  มีแค่ไม่กี่คนที่จะมีประสบการณ์แบบนี้  ผมคิดว่าตัวเองสามารถทำมันต่อไปได้เพราะความสุขนั้น

ชางมิน: ตอนที่ผมยังเป็นรุกกี้อยู่  ผมอยากจะ “ขาย” และ “ประสบความสำเร็จ” แต่ตอนนี้อย่างที่พี่ยุนโฮได้บอกไป ผมทำมันได้เพราะแฟน ๆ และสต๊าฟที่กำลังเฝ้ามองและสนับสนุนเรา ทุกคนขับเคลื่อนโทโฮชินกิไปด้วยกัน  ผมรู้สึกแบบนั้นครับ  และมันเป็นความปรารถนาของผมเองที่จะทำงานต่อมาได้ไกลขนาดนี้       

Q. ปีนี้ คุณยุนโฮอายุ 36 ปี  คุณชางมิน 34 ปี เป้าหมายในอนาคตในฐานะโทโฮชินกิและในฐานะมนุษย์คนนึง คืออะไร?

ยุนโฮ: ผมคิดว่าชีวิตของ “ชองยุนโฮ” กับ “ยุนโฮ วงโทโฮชินกิ” ต่างกันครับ  ในฐานะยุนโฮ วงโทโฮชินกิ ผมต้องการใช้เวลากับแฟนๆ มากกว่าที่ทำงานหนักในปีที่ผ่านๆมา ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับโทโฮชินกิคือการทำวงต่อไปอีกนาน ๆ ครับ   ผมมีความฝันนะ  ตอนที่แฟนแต่งงานและมีลูก พวกเขาจะมาคอนเสิร์ตกับลูก ๆ ของเขา ผมคงมีความสุขการแสดงของเรากลายเป็นเหมือนสวนสนุก  ผมอยากจำทำมันต่อไปอย่างใจเย็นแบบธรรมชาติโดยที่ไม่ได้หักโหมจนเกินไป  ชีวิตของผมในฐานะ “ชองยุนโฮ” คือ… เอาจริงๆนะครับ ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่  ไม่ใช่ว่าผมลังเลนะแต่สำหรับผมแล้ว  ชีวิตในฐานะ “ชองยุนโฮ” มันหยุดไปตั้งแต่ตอนม.ปลายก่อนที่ผมจะเดบิวต์แล้วครับ  และผมไม่มั่นใจเลยว่ามันจะก้าวไปอีกยังไง  ผมยังคงใช้ชีวิตหนัก/ยากลำบากอยู่  แต่ก็ไม่เป็นไรถ้าจะให้มันเป็นแบบที่มันเป็น  ในตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวไปข้างหน้าวันต่อวันครับ

ชางมิน: ในฐานะศิลปินคนนึง ผู้ชายคนนึง และมนุษย์คนนึง ผมอยากใช้ชีวิตแบบ good-balance ระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวโดยที่ไม่มีอุปสรรค์ใดๆครับ  ผมทำงานหนักในฐานะศิลปินมาตั้งแต่ยังเด็ก มันก็เลยมีบางครั้งที่ไม่ได้มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัวมากพอ  จากนี้ไปผมอยากจะเพิ่มตรงส่วนนี้เข้าไปด้วย  ผมอยากจะเป็นคนที่มีสมดุลที่ดีจากการได้พบเจอสิ่งที่หลากหลายและจากการศึกษาเรียนรู้ครับ

Credit: tvxqtoday

English Trans: dbskfanbaseid

แปล | สัมภาษณ์ ELLE Japan July 2022

Q. คุณต้องการจะสื่อถึงอะไรกับชื่อมินิอัลบั้ม “Epitaph” (N. คำจารึกบนหลุมฝังศพ)

ยุนโฮ: ผมว่า “Epitaph” มีความหมายไปในทางลบ/มืดมน อยู่นะครับ  แต่ที่เราอยากจะสื่อคือความคิดที่ว่าเราอยากจะข้ามข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด  และเราควรก้าวไปข้างหน้าต่อไป

Q. ช่วยพูดถึงเพลงโปรดของคุณหน่อยค่ะ

ยุนโฮ: Storm Chaser ครับ (t/n: งุ้ยยย เพลงเดียวกันเลยค่ะ) เพลงนี้จะมีความคล้ายกับเพลงโปรดมากๆของผมอีกเพลงนึง “This is me” ในภาพยนต์เรื่อง “the Greatest Showman.” แล้วผมก็อยากแสดงเพลงนี้เร็วๆเลย แล้วก็ชอบ “Mahoroba” ด้วยครับ มันมีสไตล์/เก๋ดี 

Q. รู้สึกยังไงบ้างที่ได้กลับมาทำงานกับชางมินหลังจากที่ห่างหายกันไปซักพัก

ยุนโฮ: เสียงของชางมินมีออร่าที่น่าดึงดูด/น่าประทับใจอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว  แต่ผมรู้สึกว่าออร่าของเขาแรงขึ้นอีกนะ การแสดงออกก็เพิ่มขึ้นไปอีก

Q. กับเพลง “Light My Moon Like This” ที่เอาโซโล่ของทั้งสองคนมารวมกัน รู้สึกยังไงคะ

ยุนโฮ: เป็นครั้งแรกเลยครับที่เอาโซโล่ของยุนโฮกับชางมินมามิกซ์กันแบบนี้ เราบรรลุความท้าทายใหม่แล้ว

Q. ฝากอะไรถึงแฟนๆหน่อยค่ะ

ยุนโฮ: ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เจอแฟนๆแบบออฟไลน์หลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน  ผมอยากให้แฟนๆมีความสุขไปกับการแสดงของเราแต่ก็อยากสื่อสารกับแฟนๆให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยในช่วงทอล์ค รออีกซักนิดนะครับ เราจะได้เจอกันเร็วๆนี้แล้ว!  

   

Q. คุณต้องการจะสื่อถึงอะไรกับชื่อมินิอัลบั้ม “Epitaph” 

ชางมิน: สำหรับเพลงไตเติ้ลนี้ เราอยากจะสื่อถึงความหวัง/ความปรารถนาต่ออนาคต อยากให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับเพลงที่มีความเป็นโทโฮชินกิ  ซึ่งก็มีบรรยากาศของความเท่ห์/มีสไตล์ด้วย  ท่าเต้นเหมือนจะไม่ยากนะครับแต่จริงๆมันค่อนข้างยากเลยล่ะ (หัวเราะ)

Q. ช่วยพูดถึงเพลงโปรดของคุณหน่อยค่ะ

ชางมิน: Storm Chaser ครับ ผมคิดว่าเราสามารถให้ความหวัง/แรงปลุกใจกับทุกคนได้ผ่านทางเพลงนี้ ทันทีที่ได้ยินก็จินตนาถึงตอนที่ร้องเพลงกับทุกคนได้เลย 

Q. รู้สึกยังไงบ้างที่ได้กลับมาทำงานกับยุนโฮหลังจากที่ห่างหายกันไปซักพัก

ชางมิน: พี่ยุนโฮผ่อนคลายแล้วก็กลืนเข้าไปกับเพลงเลยครับ… ผมรู้สึกว่าเสน่ห์ของเขามันแรงขึ้นไปอีกด้วย

Q. กับเพลง “Light My Moon Like This” ที่เอาโซโล่ของทั้งสองคนมารวมกัน รู้สึกยังไงคะ

ชางมิน: เราเติบโตมาแบบมีบุคลิกที่แตกต่างกันครับ แต่เราวางตัวเองซ้อนทับกันเพื่อสร้างบรรยากาศ/คาร์แรคเตอร์ใหม่ ในส่วนนี้ผมคิดว่ามันเป็นจุดเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ของเราครับ

Q. ฝากอะไรถึงแฟนๆหน่อยค่ะ

ชางมิน: ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนมากๆในช่วงที่เราไม่สามารถมอบสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขได้แต่พวกคุณก็ยังสนับสนุนเราต่ออย่างไม่มีเงื่อนไขใด ไม่ว่าจะยังไงผมก็อยากจะใช้เวลากับทุกคนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ผมคิดว่าจะสามารถตอบแทนความใจดีของทุกคนได้ผ่านการกระทำนั้นครับ

Credit: beriko0214

แปล | สัมภาษณ์โทโฮชินกิ นิตยสาร CREA – FOREVER TOGETHER –

แปล | สัมภาษณ์โทโฮชินกิ นิตยสาร CREA

– FOREVER TOGETHER –

EGP4UcuU8AEAMpt

ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ก็เป็น 14 ปีครึ่งแล้วนับตั้งแต่พวกเขาเดบิวต์ในญี่ป่นเมื่อเดือนเมษายน ปี 2005  อัลบั้มใหม่ “XV” ที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 16 ต.ค. นี้ คือความมุ่งมั่นในการเฉลิมฉลองครบรอบปีที่ 15 อย่างสดใสดั่งชื่อของมัน  และนี่อาจจะกลายเป็นปริศนาสำคัญในการทำนายอนาคตของพวกเขาก็ได้ เราจะเริ่มสัมภาษณ์จากจุดนี้

ยุนโฮ: เราทำอัลบั้ม “XV” เพื่อฉลองครบรอบ 15 ปีของพวกเราในปีหน้า  มีแนวเพลงที่หลายคนชอบและเราก็มีแนวเพลงใหม่ที่ท้าทายตัวเองด้วย นี่เป็นอัลบั้มที่จะให้ไอเดียบางอย่างเกี่ยวกับ “เส้นทางที่โทโฮชินกิจะเดินต่อไปในอนาคต”

Q.ในฐานะโทโฮชินกิแล้ว พวกคุณเลือกเพลงอย่างไร?

ชางมิน: โดยส่วนใหญ่เราสองคนจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการเลือกสรรเพลงใน “ขั้นตอนแรก” ครับ “ขั้นตอนแรก” คือ จะมีเพลงที่เข้ารอบอยู่ 5-6 ร้อยเพลงเราก็เลยให้คนอื่นทำการเลือกก่อนเพื่อให้เพลงมันเหลือน้อยลง  แล้วเราจะฟังเพลงที่ได้เลือกเหล่านั้นแล้วบอกพวกเขา… ประมาณว่า “เราเปลี่ยนอะไรในท่อนนี้ได้ไหม?” 

2 (1)

 

3 (1)

Q. คุณยุนโฮ “แนวเพลงใหม่” คืออะไร?

ยุนโฮ: เช่น  จะมีเพลงนึงที่ชางมินแรปอย่างจริงจัง  (ไม่ใช่แบบมือสมัครเล่นหรือพยายามแรป) และเรายังมีเพลงที่ “มีชีวิตชีวา ร่าเริง” เหมือนเพลง “OCEAN” เป็นเพลงที่ทันสมัยแต่ยังมีชีวิตชีวาด้วย  ผมว่าเราพยายามจะร้องเพลงที่เข้ากับวัยเราครับ

Q. คุณจะแสดง 5 โดมทัวร์ด้วยอัลบั้มนี้

ยุนโฮ: จริงๆเรายังไม่ได้เซททั้งหมดนะครับแต่กำลังคิดเรื่องการกำกับการแสดง/เวทีซึ่งจะเหมาะกับการฉลองครอบรอบ 15 ปี  ยังมีเรื่องกล้องด้วยใช่ไหม? มุมกล้องและบล็อคกิ้งของกล้องจะแตกต่างกับคอนเสิร์ตที่ผ่านมา เราศึกษาเรื่องงานกล้องด้วยนะ! มีคนบอกผมแบบนั้นแหละครับ (หัวเราะ)

Q.แซมซังจะกำกับเวทีใช่ไหม?

ชางมิน: ใช่ครับ ฟังดูเหมือนปกตินะแต่เมื่อเทียบกับปีสองปีที่แล้ว จากเด็กผู้ชายเรากลายเป็นผู้ชายแล้ว  เราอายุมากขึ้นจึงเรียกตัวเองว่าเด็กไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะถูกเผยออกมาโดยธรรมชาติในการร้องและการแสดงของเรา  

Q. คุณจะร้องเพลงเมื่อ 15 ปีที่แล้วไหม?

ยุนโฮ: ผมยังไม่รู้นะแต่อาจจะครับ

Q. พวกคุณแต่ละคนมีศักยภาพในฐานะศิลปินเดี่ยวและมีพลังมากขึ้นในฐานะศิลปินกลุ่ม  ณ ตอนนี้อะไรคือสิ่งที่พวกคุณทำงานอย่างหนัก?  

ชางมิน: สำหรับผมคือสิ่งที่ตัวเองชอบทำในชีวิตประจำวันครับ  เช่น ผมพยายามทำอาหาร อ่านหนังสือ หรือออกกำลังกาย ผมรู้สึกว่าการทำกิจกรรมเหล่านั้นให้สารอาหารที่ดี (T/N: คุณ beriko0214 แปลตรงตัว  ดูเหมือนชางมินจะหมายถึงประสบการณ์ที่มีค่า) สำหรับผมไม่ใช่แค่ในฐานะสมาชิกโทโฮชินกิ แต่ยังเป็นในฐานะผู้ใหญ่คนนึงด้วยครับ

Q. เข้าใจในเรื่องการอ่านหนังสือกับออกกำลังกายนะแต่… ทำอาหารด้วยหรอ?

ชางมิน: ครับ  การทำในสิ่งที่ชอบและพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีให้มันก้าวไปอีกระดับนึงจะสร้างความมั่นใจให้กับผมครับ  ไม่ว่าจะเป็นอะไรหากคุณได้พบอะไรที่คุณบ้าไปกับมันแล้วล่ะก็คุณจะซึมซับตัวเองในการทำสิ่งนั้น ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันจะช่วยให้ตัวตนที่แท้จริงของคุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่ครับ

Q. คุณยุนโฮที่พยักหน้าหงึกๆตลอดคิดยังไง?

ยุนโฮ: ผมชอบท่องเที่ยวในที่ไกลๆครับ  ผมคิดว่าประสบการณ์ที่ได้จากทริปพวกนั้นจะช่วยให้ตัวตนภายในของโทโฮชินกิเติบโตขึ้น  การท่องเที่ยวและการไปคาเฟ่มันดีนะครับ ไม่นานมานี้ผมไปดูละครเวที “Lion King” กับ “Burn the floor” โชว์เป็นภาษาครับผมก็เลยไม่ค่อยเข้าใจบทเท่าไหร่แต่ผมเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดนะครับ  ผมปรารถนาจะเป็นศิลปินแบบนั้น… และนี่คือสิ่งที่ดีต่อใจ ผมเป็นประเภทบ้างานน่ะครับ (หัวเราะ)

캡처Q. การเป็นโทโฮชินกิต่อไปในวัย 30 นั้นเป็นเรื่องท้าทายนะ

ยุนโฮ: เราพูดถึงเรื่องนี้ตอนให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดกับ CREA ครับ  สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือชางมินควรเป็นชางมินแบบนี้ตลอดไป และผมควรเป็นยุนโฮเช่นกัน  เราพยายามจะเป็นแบบนั้นครับ เราไม่จำเป็นต้องวิ่ง… เราก้าวต่อไป และ… ขนาดของสถานที่จัดคอนเสิร์ตไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเรา.. หากเป็นไปได้มันคงวิเศษถ้าเราได้พบปะและทักทายผู้คนในหลายๆภูมิภาค (ไม่ใช่แค่เมืองใหญ่)

ชางมิน: เหมือนกับผมครับ  การทำงานต่อไปในฐานะโทโฮชินกิคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของผม  เมื่อคุณเริ่มทำอาชีพนี้ทุกคนก็วาดฝันในเรื่องการมีชื่อเสียง  เราสองคนก็เคยเป็นแบบนั้น แต่ยิ่งเราทำงานมากขึ้นเท่าไหร่เรายิ่งเชื่อว่ามันจะดีมากหากเราได้ทำงานในฐานะศิลปินได้นานเท่าที่เราต้องการ  การทำลายสถิตินั้นคือเรื่องที่น่าทึ่งแต่ประวัติศาสตร์ได้ลบทุกสิ่งและเริ่มต้นอีกครั้ง และไม่มีสถิติไหนที่จะคงอยู่ตลอดไป หากเป็นเช่นนั้นผมอยากจะเป็นคนที่จะเป็นที่จดจำไปอีกนาน

Q. มันสำคัญมากที่คุณทั้งสองเข้ากันได้ดีในเรื่องการทำงาน มิตรภาพในฐานะคู่หูโทโฮชินกินั้นแตกต่างจากมิตรภาพกับเพื่อนๆที่คบหาไหม?

ยุนโฮ: ครับ มันต่างนะ อธิบายยาก… ทุกคนเริ่มจากการเป็นคนแปลกหน้าและไม่มีใครเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนแรก  ผมคิดว่ามันสำคัญสำหรับผมที่จะจดจำและกลายเป็นเพื่อนกับคนอื่นๆ กับชางมินเรามีความรับผิดชอบและพันธะสัญญาที่จะสร้างคุณค่าของโทโฮชินกิด้วยกันผมจึงรู้สึกหนักแน่นขึ้น… เพราะแบบนั้นผมเลยบอกเพื่อนคนอื่นของตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรต่อชางมินและพวกเขา(เพื่อนๆ) พวกเขา “แตกต่าง” ครับ 

Q. มันสำคัญมากที่คุณทั้งสองเข้ากันได้ดีในเรื่องการทำงาน  มิตรภาพระหว่างคุณสองคนในฐานะคู่หูและโทโฮชินกินั้นแตกต่างจากเพื่อนๆที่ไปไหนมาไหนด้วยกันไหม?

ชางมิน: จริงหรอครับ? (หัวเราะ)

ยุนโฮ: ใช่ จริงๆนะ  เพราะแบบนั้นก็เลยจะเห็นแก่ตัวกับเพื่อนๆได้แต่ไม่ใช่กับชางมิน  ผมรู้สึกว่าเราต้องแคร์กันและกัน

ชางมิน: สำหรับผมนะครับ  ผมมีเพื่อนนอกวงการที่เป็นเพื่อนตั้งแต่ตอนวัยรุ่นก็เลยไม่เคยคิดถึงมิตรภาพระหว่างเพื่อนกับโทโฮชินกิแบบต่างกันเลย

resource

Q. อีกอย่างหนึ่งก็คือพวกคุณเปิดแอคเค้าท์ไอจีมา 2 ปีแล้ว  การติดต่อสื่อสารของคุณและแฟนๆเปลี่ยนไปบ้างไหม?

ยุนโฮ: โอ้ ชางมินเก่งมากเลยครับ  คุณควรถามชางมินนะ (หัวเราะ) เขาประสบความสำเร็จในการทำงานอดิเรกให้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับแฟนๆ

ชางมิน: ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ  ผมคอมเม้นต์ในโพสต์ของแฟนๆไม่ได้  และพูดตามตรงคือมันเป็นการสื่อสารทางเดียว  ถ้าทุกคนอยากให้ผมทำแบบนั้นผมก็ยินดีที่จะโพสต์ครับ  ผมอยากจะมีความสุขกับการโพสต์ไอจี อย่างไรก็ตามผมไม่คิดว่าเราควรผลักดันตัวเองในการเล่น SNS ครับ

Q. นี่เป็นคนถามสุดท้ายแล้ว  หากมีวันว่าง 1 วันในโตเกียว คุณอยากจะไปที่ไหนและอยากทำอะไร?ยุนโฮ: ไม่รู้สิครับ… ไม่นานมานี้ผมเล่นเซิร์ฟ เป็นแพลนโดยแฟนคลับของเรา  ผมอยากลองอีกครั้งมากๆ มันสนุกมากและเข้ากับบุคลิกผมด้วย อีกอย่างคือไปตกปลกครับ

ชางมิน: ผม… มันยากนะครับที่จะไปเที่ยวในหลายๆในโตเกียว  แต่ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับตึกที่มีรูปทรงแปลกๆในโตเกียว เคยเห็นในหนังสือครับ   โรงเรียนอนุบาลที่นึงที่มีการออกแบบหลังคาที่เป็นเอกลักษณ์ ผมอยากไปที่นั่นครับ

Q. ฟังดูเยี่ยมไปเลยนะ  แต่ถ้าพวกคุณเดินอยู่บนถนนก็คงโดดเด่นมาก… มีความลับอะไรในการไม่เปิดเผยตัวตนไหม?

ยุนโฮ: ตอนนี้ผมแตกต่างจากตอน 20 ครับ  ผมแค่เดินออกไปข้างนอกเฉยๆ “ผมคือยุนโฮ!” ผมไม่บังคับตัวเองให้ใส่แว่นกันแดดหรือแว่นสายตา  ถ้ามีคนเจอผมก็จะบอกพวกเขา “ครับ ผมนี่แหละ! ขอให้เป็นวันที่ดีครับ☆” (หัวเราะ)

ชางมิน: เท่มากครับ! (หัวเราะ)

ยุนโฮ: การใส่ผ้าปิดปาก… ผมคิดว่านั่นจะทำให้คุณโดดเด่นครับ…

ชางมิน: ใช่ จริงเลย  เวลาที่เราพยายามปลอมตัวคนก็จะรู้โดยทันที… และถ้าเรามีความลับในการปลอมตัว.. ผมก็ไม่บอกคุณหรอก!

Q. โอ้ ใช่เลย! (หัวเราะ)

ชางมิน: ผมไม่บอกหรอกครับ! (หัวเราะ)

1

*หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

________________________________________

Cr. MM7608

Eng: beriko0214 

Pic: tvxqdrip

Thai: UKNOW2theMAX

 

แปล | สัมภาษณ์ โทโฮชินกิ นิตยสาร 「SPUR」 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2018 (Released 171221)

แปล | สัมภาษณ์ โทโฮชินกิ นิตยสาร 「SPUR」ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2018 (Released 171221)

NYISmVU-1200

สัมภาษณ์ยาวพิเศษกับโทโฮชินกิ

ยุนโฮ และ ชางมิน พูดคุยเกี่ยวกับ “ช่วงเวลาที่มีค่าและความรู้สึกแห่งความรัก”

~หลังจากที่แยกกัน  เราก็ได้เข้าใจถึงความสำคัญของกันและกัน~

ธีม「homecoming」(การกลับบ้าน) 

 

Q. แฟนๆของพวกคุณและ SPUR รอคอยการกลับมาของพวกคุณมากๆ! ก่อนอื่นเลยบอกได้ไหมว่าสองปีนี้พวกคุณเป็นยังไงบ้าง? 

ยุนโฮ: ก่อนหน้าสองปีนี้  ผมทำงานในฐานะยุนโฮวงโทโฮชินกิ  แต่ในสองปีนี้ผมได้ใช้ช่วงเวลที่สำคัญในฐานะชองยุนโฮเพื่อกลับมามองตัวเอง  ผมได้คิดถึงเส้นทางที่ผมได้เลือกและทำงานอย่างหนัก ผมยังได้คิดถึงเส้นทางใหม่ที่จะนำผมไปสู่อนาคตในฐานะมนุษย์คนนึงอีกด้วย  ทั้งของชองยุนโฮและยุนโฮวงโทโฮชินกินั้น และการได้คิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ก็ทำให้ผมตื่นเต้นกับอนาคตของตัวเองครับ!

ชางมิน: สำหรับผมนะครับ  มันเป็นช่วงเวลาของจุดเปลี่ยนใหม่  สภาพแวดล้อมที่ผมได้อยู่นั้นแตกต่างจากที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงและมันก็ยากมากครับ  ผมมีช่วงเวลาที่ลำบากในการทำให้ตัวเองคุ้นชินกับชีวิตแบบนั้นและในบางครั้งก็รู้สึกไม่สะดวกสบาย  แต่ในทางกลับกันผมก็ได้ทำในสิ่งที่แต่ก่อนตัวเองทำได้ไม่ดี เช่น การอ่านหนังสือ หรือการเขียนบันทึก  ผมคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้ท้าทายตัวเองในหลายๆด้านครับ

Q. คุณคิดถึงอีกคน?

ชางมิน: ครับ แน่นอน  แต่ก่อนผมเคยชินในการมีพี่ยุนโฮอยู่กับผมตลอดเวลา  ดังนั้นพอพี่เขาเข้ากรมไปแล้วผมจึงได้รู้เป็นครั้งแรกว่าการมีอยู่ของพี่เขาสำคัญกับผมขนาดไหน  คือสิ่งเดียวกันที่รู้สึกกับครอบครัว พอคุณออกจากครอบครัวไปคุณจะรู้ได้ว่า “อ่า ครอบครัวสำคัญกับฉันจริงๆนะ” ผมรู้สึกกับพี่ยุนโฮแบบเดียวกันเลยครับ  และไม่ใช่แค่กับพี่ยุนโฮนะครับ กับแฟนๆและสตาฟก็ด้วย ผมได้เรียนรู้ว่าผู้คนเหล่านั้นที่ผมมีอยู่รอบตัวอย่างเคยชิน แต่ผมไม่ควรมองข้ามพวกเขาไป ทำให้ผมเริ่มคิดว่าไม่ควรลืมความขอบคุณต่อพวกเขาและผมต้องตอบแทนความใจดีของเขา

ยุนโฮ: ครับ เกี่ยวกับที่ชางมินเพิ่งพูดไป… ก่อนหน้านี้เราอยู่ด้วยกันมาประมาณ 17 ปีแล้วและชางมินอยู่ข้างผมตลอดเวลาที่ผมสุข เศร้า และรู้สึกโดดเดี่ยว  แต่จู่ๆเขาก็หายไป บางครั้งผมก็คิดว่า “อ่า~ ชางมินทำอะไรอยู่นะตอนนี้?” และเวลาที่ดูการแสดงของศิลปินคนอื่นในทีวี บางครั้งบางคราวผมก็คิดว่า “อ่า~ ผมอยากแสดงให้เห็นว่าเราเท่ขนาดไหนกับชางมิน” ดังนั้นผมอยากแสดงให้ชางมินเห็นถึง ยุนโฮที่เขารู้จักบวกยุนโฮที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเมื่อเราพบกันอีกครั้ง  และผมยังคิดอีกว่า… อย่าพยายามกดดันชางมิน… และมันไม่เป็นไรที่จะใช้เวลานานซักนิด… ผมต้องการที่จะทำให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกันของเราแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมครับ

Q. ธีมในการถ่ายแบบวันนี้คือ “O-ka-e-ri-na-sai (ยินดีต้อนรับกลับบ้าน)”และเราใช้เซทติ้งที่ว่าคุณกำลังกลับบ้าน  ได้ยินมาว่าที่เกาหลีพวกคุณแยกกันอยุ่ เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับบ้านของคุณได้ไหม?

ยุนโฮ: ห้องนั่งเล่นผมใหญ่มากและมีของไม่เยอะ  คอนเซปท์คือแบบนั้นแหละครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ห้องเป็นแบบนั้นนะครับแต่ผมเพิ่งย้ายเข้ามาและอยากทำให้ห้องเป็นโรงหนังก็เลยซื้อโซฟากับทีวีจอใหญ่ก่อน  แต่ผมก็ยุ่งทันทีเลยจึงยังจัดห้องไม่เสร็จ แต่คนที่มาเยี่ยมผมก็จะชมว่าห้องนี้มาคาแรคเตอร์นะ

Q. คิดว่ามีของไม่เยอะมากกว่าห้องว่างเปล่านะ… และมันก็เลยกลายเป็นคอนเซปท์ใช่ไหม?

ยุนโฮ: ครับ แต่มันไม่ได้ shibui* เกินไปหรอกนะ  ผนังสีขาวและห้องเป็นโมโนโทน เพื่อนผมคนนึงพูดว่า “ห้องนี้มันสไตล์ผู้ชายไปหรือเปล่า?” มันมีห้องนึงที่ตอนนี้ผมไม่ได้ใช้และอยากจะทำเป็นห้องปาร์ตี้ครับ  

*Shibui/Shibumi (渋味)Beautiful by being understated, or by being precisely ความสมถะ เนื้อแท้ แก่นแท้ของวัตถุ แนวคิดของการออกแบบที่เรียบง่าย คือความสมถะ และความงามผ่านการออกแบบที่ชัดเจนและไม่มีอะไรเพิ่มเติม  “เรียบง่ายโดยไม่ต้องฉูดฉาด. ความเรียบง่ายสง่างาม ความกะทัดรัดชัดเจน” เป็นคำที่บางครั้งใช้วันนี้ในการอธิบายสิ่ง ที่เรียบง่าย แต่สวยงาม

Cr. http://fdesignbasis.blogspot.com

ชางมิน: พี่จะเอา “The Game of Life**” ไปไว้ด้วยไหม?

** เป็นเกมในธีมการเดินทางของชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อกลายเป็นมหาเศรษฐี และได้ดำเนินชีวิตตามแบบความฝันของอเมริกันชน (American Dream) เกมนี้เป็นปาร์ตี้เกมที่น่าหลงใหล  ซึ่งเปิดโอกาสให้ครอบครัวและกลุ่มเพื่อนในทุกมุมโลกได้แชร์ประสบการณ์ ผ่านสถานการณ์จำลองของแต่ละบุคคลในทุกช่วงของชีวิต จากวัยเรียน วัยทำงาน แต่งงานและอาจมีลูก จนถึงการใช้ชีวิตวัยเกษียณ

Cr. https://www.morethanagamecafe.com

ยุนโฮ: ครับ  ผมมี “The Game of Life” 2 กระดานแล้ว (หัวเราะ) ผมซื้อเกมไม้จังก้า (Jenga) (หรือเกมตึกถล่ม (Building block)) แล้วก็กระดาษปาลูกดอก… และเกมส์ทั้งหมดที่ผมมีไปไว้ที่บ้านใหม่  ผมจะวางเกมส์บอกนี้เป็นแถวและติดโปสเตอร์บนผนัง ผมจะติดไฟแบบสตูโอเลยครับ มีแค่ห้องนั้นห้องเดียวที่เป็นห้องเล็ก แค่ 4 คนก็เต็มแล้ว  แต่จริงๆมันทำให้ห้องอกกมาดีเลยนะ! ผมตื่นเต้นกับมันครับ 

ชางมิน: แบบ Don Quixote หรอ? (นิยาย ดอน กิโฆเต แห่งลามันชา ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน)

ยุนโฮ: มันไม่ได้คนเยอะแบบนั้น (หัวเราะ) บ้านชางมินบรรยากาศต่างจากผมโดยสิ้นเชิงเลยครับ  ผมอยู่ในพื้นที่อยู่อาศัยชานเมืองที่รายรอบไปด้วยธรรมชาติส่วนของชางมินจะอยู่กลางเมืองเลย

ชางมิน: ใช่ พี่พูดถูก แต่ละห้องจะมีสีต่างกัน เช่น พื้นและผนังห้องนั่งเล่นจะเป็นสีขาว  ผมชอบให้สิ่งที่ติดตั้งในบ้านสร้างบรรยากาศที่สงบเงียบ ห้องนั้นเลยอาจจะดูเหมือนบาร์ ผมสร้างให้ห้องเป็นสถานที่ที่ผมอยากสนุกไปกับการดื่มและทำอาคารกับเพื่อนๆ

Q. ผู้ชายเกาหลีชอบดื่มที่บ้านไหม?

ชางมิน: ผมว่ามันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะ  ผมคิดว่าตัวเองดื่มที่บ้านมากกว่าคนทั่วไปนิดหน่อย  แม้ว่าจะดื่มนอกบ้านมาแล้วผมก็จะมาดื่มต่อที่บ้านครับ

ยุนโฮ: นายดื่มไวน์เพื่อทำให้วันนั้นเสร็จสมบูรณ์?

ชางมิน: ครับ (หัวเราะ) ผมชอบดื่มก็เลยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายแบบที่บ้าน  ผมยังขยันติดลำโพงบลูทูธแบบในโรงแรมด้วยนะ ดังนั้นเวลาเปิดเพลงก็จะได้ยินทุกห้องเลยครับ

ยุนโฮ: ว้าว อินเทรนด์นะเนี่ย

ชางมิน: ผมมีลำโพงที่วางอยู่บนโล่ด้วยครับ (อันนี้เราไม่แน่ใจนะ / I have speakers placed on the shieling) นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในบ้านที่ผมบอกได้ครับ

Q. มีความคิดอะไรที่เปลี่ยนไปในเรื่องของความรักไหมเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงอายุในวัย 20?

ยุนโฮ: ผมว่าตัวเองเปลี่ยนเยอะนะ  ตัั้งแต่ปีที่แล้วนี่พิเศษเลย ผมเคยชอบผู้หญิงที่มีจิตใจแกร่ง ในทุกวันของชีวิตผมเป็นผู้นำ  ดังนั้นผมจึงอยากจะถูกนำโดยใครซักคนในชีวิตรัก แต่หลังๆมานี้ผมรักคนที่ร่วมแบ่งปันคุณค่าในเรื่องต่างๆ  เธอจะมองผมในแบบที่ผมเป็นและหัวเราะด้วยกันกับผม และผมสามารถถกประเด็นต่างๆกับเธอ ทุกอย่างสำคัญดังนั้นผมไม่สนว่าเธอจะสวยหรือไม่สวยครับ (หัวเราะ) แต่พูดถึงแล้วถ้าเราเข้ากันได้ดีเธอก็จะสวยขึ้นในสายตาผมครับ

ชางมิน: พูดตามตรงเลยนะครับ  ตอนเด็กๆผมแคร์เรื่องภาพลักษณ์มาก (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้ผมอยากอยู่กับใครซักคนที่เข้ากับผมได้และร่วมทำงานดิเรกที่คล้ายกัน  คนแบบนั้นจะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายเวลาที่เราอยู่ด้วยกันแต่เธออาจจะเบื่อนะครับ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ยุนโฮ: ว้าว จู่ๆนายก็พูดสำนวนสี่ตัวอักษร (หัวเราะ)     

ชางมิน: โอเค ไม่ใช่ใครที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแต่เธอก็ต้องสนุกสนานและทำให้ผมมีความสุขด้วย  ผมชอบคนแบบนั้นแหละครับ  

Q. คุณสนใจแฟชั่นของผู้หญิงบ้างไหม?

ยุนโฮ: ผมชอบผู้หญิงที่ดูดีเวลาใส่รองเท้าผ้าใบครับไม่ใช่รองเท้าส้นสูง คนที่ดูดีเวลาใส่เสื้อยืดสีขาว  ผมว่าคนที่ดูดีในชุดธรรมดาๆ ดูดีในเสื้อผ้าทุกแบบ เพราะงั้นถ้าคนที่ปกติใส่ชุดสบายๆ เธอจะดูน่าดึงดูดขึ้น

ชางมิน: พูดเรื่องส้นสูง… เวลาที่ผมเห็นใครซักคนใส่ส้นสูงแต่ส้นมันพังนิดนึง… ผมจะคิดถึงเรื่องราวของคนคนนั้นครับ  ผมว่าคนคนนั้นต้องทำงานหนักมาก… และส้นที่พังนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าเธอทำงานหนัก ผมจะรู้สึกซึ้งใจครับ

ยุนโฮ: พอได้ยินแล้วคงมีผู้หญิงหลายคนใส่รองเท้าส้นพังอะ (หัวเราะ)

Q. สุดท้ายแล้วคุณกำลังอยู่ช่วงโดมทัวร์ในญี่ปุ่น  ช่วยบอกเราถึงความตื่นเต้นต่อไลฟ์ทัวร์และปรารถนาในอนาคตหน่อยได่ไหม?

ยุนโฮ: ทัวร์ญี่ปุ่นครั้งล่าสุดผมพูดว่า “I-tte-ki-ma-su! (ผมไปนะ)” ในครั้งนี้ทุกคนได้เฝ้ารอผมก็เลยอยู่อยู่บนเวทีด้วยความคิด “Ta-da-i-ma (ผมกลับมาแล้วนะ)” ผมอยากจะทำทัวร์ครั้งนี้แบบความอบอุ่นใจและให้ทุกคนรู้สึกว่า “บ้าน” คือสถานที่ที่สำคัญที่สุด

ชางมิน: ผมอยากจะสร้างสถานที่ในการพบปะและมีสนุกอย่างเต็มที่สำหรับเราและคนดู  กอ่นหน้านี้เวลาที่ตัวเองเหนื่อยล้าหลังจากทำงานหนัก ผมจะพูดว่า “ผมอยากพัก” แต่ในสองปีนี้เนื่องจากไม่สามารถทำงานได้จึงได้รู้เลยว่า “ผมอยากอยู่บนเวที” “อยากร้องเพลงนั้น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมไม่ได้โอกาสที่จะได้ร้องเพลงญี่ปุ่นเลย  ผมรู้สึกแบบนั้นมากๆลยครับ ณ ตอนนี้ ผมสามารถร้องเพลงได้มากเท่าที่ตัวเองต้องการก็เลยมีความสุขมากๆครับ  

ยุนโฮ: ผมก็รู้สึกเหมือนกันครับ  ผมจะทำให้ดีที่สุดเพื่อแสดงให้คุณได้เห็น  ไม่ใช่แค่โทโฮชินกิที่เท่ๆแต่ยังเป็นโทโฮชินกิที่อบอุ่นหัวใจอีกด้วย  ช่วยสนับสนุนทัวร์ อัลบั้มใหม่ และซิงเกิ้ลใหม่ “Reboot” ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณทุกคนและจิตวิญญาณนักสู้ของเราต่อไปด้วยนะครับ

ชางมิน: และปีใหม่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว  ผมหวังว่าทุกคนจะสุขภาพแข็งแรง สงบสุขนะครับ

*หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

——————–

Eng:  beriko0214  | Thai: UKNOW2theMax

ทงบังชินกิ ชเวกังชางมิน ทำการบริจาคที่มีความหมายเพื่อช่วยเหลือในการปฏิบัติการดับไฟป่าอเมซอน

D4_QnW6VUAAHLFn.jpg

 

ในวันที่ 9 กันยายน สำนักงาน Greenpeace โซล กล่าวว่า “ทงบังชินกิ ชเวกังชางมิน ได้ทำการบริจาคเงิน 70 ล้านวอน หรือประมาณ 1.8 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือในการฟื้นฟูบริเวณที่เกิดเหตุไฟป่าอเมซอน  ตลอดจนช่วยเหลือผลกระทบทางธรรมชาติ” กองทุนนี้ได้มาจากการขายสินค้าที่เป็นความร่วมมือระหว่างชางมินและ Represent เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ได้มีการวางจำหน่ายสินค้าแฟชั่นซึ่งได้รับการออกแบบจากชางมินภายใต้ธีมการปกป้องสิ่งแวดล้อมด้วยส่วนหนึ่งของการขายจะมีการนำไปบริจาคเพื่อการกุศล

 

เป็นที่รู้ดีว่าชางมินได้ทำการบริจาคเพื่อช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่มีรายได้น้อย  และเขาได้กล่าวว่า “นัยสำคัญของโครงการนี้คือการคืนโลกของเรากลับสู่สภาพเดิม สภาพที่สวยงาม และผมหวังว่าการบริจาคนี้จะสามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ในทางใดทางนึง”

 

Chae Jung Ah ผู้อำนวยการการบริจาคของสำนักงาน Greenpeace โซล กล่าวว่า “ณ ขณะนี้ป่าฝนอเมซอนได้เกิดภัยพิบัติจากไฟป่าที่ลุกลามเป็นวงกว้างเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว  และความเสียหายก็มีมูลค่าสูง” และ “ด้วยการบริจาคจากทงบังชินกิ ชเวกังชางมินผู้ซึ่งได้รับความรักจากทั้งในและนอกเกาหลี เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีผู้คนตระหนักถึงความเสียหายของป่าอเมซอนมากขึ้น และหวังว่าจะพยายามให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด” 

 

สำนักงานโซลยังกล่าวเพิ่มอีกว่า “ไฟป่าไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัญญาที่กระทบต่อสัตว์ป่าและผู้คนในบราซิลเพียงเท่านั้น  ก๊าซต่างๆที่ปล่อยออกมาจากเพลิงไหม้นั้นจะส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อชั้นบรรยากาศ และจะก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อโลกทั้งใบ”

 

Source: n.news.naver.com/entertain

Eng: soompi.com

Thai: UKNOW2theMAX

“การปกป้องชื่อทงบังชินกิ…” คือความหนักของมงกุฎซึ่งแบกรับไว้โดยยุนโฮและชางมิน

“การปกป้องชื่อทงบังชินกิ…” คือความหนักของมงกุฎ*ซึ่งแบกรับไว้โดยยุนโฮและชางมิน

20190804155100554lhzy

เมื่อมาคิดดูมันแล้ว  ฉันไม่แน่ใจว่ามันโชคดีขนาดไหนที่เป็นยูโนยุนโฮและชเวกังชางมินที่ได้ปกป้องชื่อทงบังชินกิไว้  ในปี 2009 คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ/โหดร้ายในประวัติศาสตร์ของวงทงบังชินกิ เมื่อเกิดการแยกวงเนื่องจากปัญหาเรื่องสัญญาของพวกเขา  พื้นที่ว่างของสมาชิก 3 คน (จุนซู แจจุง ยูชอน) ที่ออกจากวงไปและตั้งวงใหม่ขึ้นมา ในชื่อ JYJ นั้นดูใหญ่มาก ความกังวลในเรื่องระบบวงที่มีสมาชิก 2 คนนั้นถูกยกขึ้นมา  และแม้แต่ความสงสัยในความถาวร/ยั่งยืนของทงบังชินกิก็มีมาด้วย

 

แต่ ณ ปัจจุบันนี้  หากเราประเมินหลังจากสถานการณ์ผ่านมา 10 ปีแล้วล่ะ?  ในอุตสาหกรรมบันเทิงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและปัญหาต่างๆ  ยูโนยุนโฮและชเวกังชางมินได้ปกป้อง “ทงบังชินกิ” อย่างเข้มแข็งโดยปราศจากซึ่งความขัดแย้งใดๆ  มันคือชื่อที่พวกเขาอยากจะปกป้องถึงระดับนั้น ทงบังชินกิมีจุดแข็งในตัวเองทั้งในวงการเพลงโดยการปล่อยอัลบั้มทุกปี และได้พบกับแฟนๆทั้งในและต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอผ่านทางโชว์  คอนเสิร์ต และอื่นๆ พวกเขาทำให้ดีที่สุดถึงเพียงนี้จะพูดว่าพวกเขาวิ่งโดยไม่พักก็คงจะไม่เพียงพอ

 

ยูโนยุนโฮปิดฉากการโซโล่เดบิตว์ที่ประสบความสำเร็จของเขาโดยการปล่อยอัลบั้มเดี่ยว “True Colors” ในเดือนมิถุนายน  และเขายังทำกิจกรรมทางด้านรายการวาไรตี้โดยการไปร่วมรายการทาง tvN “Coffee Friends” MCB “How Do You Play?” และอื่นๆ  ชเวกังชางมินก็ได้มีการติดต่อสื่อสารกับแฟนๆในหลายช่องทาง เช่น การปรากฏตัวทางรายการ MBC “I Live Alone” ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา  ทงบังชินกิผู้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากได้กลายเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่ในโลกไอดอล ณ ตอนนี้ ยูโนยุนโฮและเชวกังชางมินได้แบกรับมงกฏที่หนักอึ้ง*ที่มีชื่อว่า “ทงบังชินกิ” ด้วยความมุ่งมั่นและจริงใจของพวกเขา  และได้สร้างยุคของตัวเองขึ้นมา

20190804155100771zajm

อะไรคือเหตุผลที่ยูโนยุนโฮและชเวกังชางมินผู้ที่เดบิวต์ในปี 2004 ได้รับความเชื่อใจและความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากแฟนๆจนถึงทุกวันนี้?  แน่นอน อย่างแรก พวกเขาอาจจะทำให้แฟนๆหลงเสน่ห์ด้วยภาพลักษณ์และความสามารถ แต่เพียงแค่นี้คงไม่สามารถอยู่ได้นานขนาดนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกเราควรหาคำตอนใน “บุคลิก” ของพวกเขาไหม?  จากมุมมองของแฟนคลับคนหนึ่งความมั่นใจว่าศิลปินดาราที่พวกเขารักนั้น “เป็นคนดี” คือความสบายใจที่ยิ่งใหญ่และเป็นขุมพลังที่ทำให้แฟนๆสนับสนุนพวกเขาต่อไป

 

ตั้งแต่เดบิวต์จนถึงตอนนี้  ยูโนยุนโฮได้บริจาคสิ่งที่จำเป็น เช่น ทุนการศึกษาและตู้เย็นให้กับโรงเรียนมัธยมปลาย Kwangil ที่เขาเคยศึกษา  เขาได้อธิบายเรื่องการบริจาคเมื่อตอนที่ได้ไปออกรายการวาไรตี้ว่า “ผมเริ่มทำอาชีพนี้ในช่วงเรียนมัธยมปลาย ก็เลยไม่มีความทรงจำอื่นนอกจากเพื่อน  เพื่อนๆและอาจารย์ในตอนนั้นแนะนำให้ผมเดินในทางที่ถูกต้อง” เขายังบริจาคเงิน 30 ล้านวอนผ่านทาง Community Chest of Korea (เงินสงเคราะห์ชุมชนแห่งเกาหลี) ครั้งเกิดเหตุไฟไหม้ที่คังวอนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

 

ในงานแถลงข่าว “Coffee Freinds” ซนโฮจุนเลือก “ยุนโฮ” เมื่อถูกถามว่าใครคือแขกรับเชิญที่น่าจดจำที่สุด  เขาบอกว่า “เพื่อนคนนั้นที่หลายๆคนทราบ เป็นคนที่มุ่งมั่นและไม่ชอบแพ้ แม้ว่าเขาจะมางานการกุศลเขาก็แพ้ไม่ได้ครับ” เขายังกล่าวอีกด้วยว่ายอดบริจาคที่สูงที่สุดของรายการคืออีพีที่ยูโนยุนโฮปรากฏตัว  เป็นแฟนคลับของดาราคนนั้นใช่ไหม? แฟนๆทั้งในและต่างประเทศได้ทำการบริจาคข้าวสารและ(การเงิน)มอบให้กับ Gwangsan-gu ในจังหวัด Gwangju บ้านเกิดของยุนโฮ จำนวนนั้นพูดได้ว่าสูงถึงราวๆ 125 ล้านวอน

 

น้องชายคนเล็กผู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่ชาย

20190804155101009kfco

แม้ว่าเขาจะไปออกรายการวาไรตี้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยูโนยุนโฮ  กิจกรรมการบริจาคของชเวกังชางมินไม่ได้น้อยไปกว่าพี่ชายของเขาเลย  เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา Green Umbrella Childfund Korea กล่าวว่าชเวกังชางมินได้บริจาคเงิน  50 ล้านวอนเพื่อเด็กที่มาจากความครัวที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และประกาศว่าเงินจำนวนนี้จะนำไปใช้เป็นค่าเล่าเรียนของเด็ก 50 คน  ชเวกังชางมินอธิบายในการบริจาคของเขา “ไม่ว่าสถานะทางการเงินหรือสภาพแวดล้อมของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ผมหวังว่าเราจะสามารถมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กๆเพื่อที่พวกเขาจะได้สานฝันได้มากขึ้น”   

 

ชเวกังชางมินได้ครองตำแหน่งผู้นำทางวัฒนธรรมแห่งการแบ่งปัน  ถึงขนาดที่ว่าชื่อของเขาได้ถูกรวมอยู่ใน “Green Noble Club” ชื่อของกลุ่มผู้บริจาคที่ได้ทำการบริจาคให้กับ  Green Umbrella Childfund Korea จำนวนกว่า 100 ล้านวอนได้อย่างน่าภูมิใจ เขาบริจาค 45 ล้านวอนให้กับเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยในช่วงเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ Pohang ในปี 2017  และยังบริจาคอีก 55 ล้านวอนให้เด็กๆเนื่องในโอกาสวันเด็ก และอีก 50 ล้านวอนในช่วงสิ้นปี อีกทั้งในเดือนกรกฎคมช่วงสิ้นปีนี้ (โน้ต: ผู้เขียนเขียนว่าปีนี้/2019 แต่มันควรเป็น 2018) เขาบริจาคอุปกรณ์เครื่องปรับอากาศรวมมูลค่า 50 ล้านวอนแก่ผู้ที่ทรมาณจากคลื่นความร้อน ผ่านทาง Seoul Housing Welfare Association (สมาคมสวัสดิการที่อยู่อาศัยกรุงโซล)

 

มองดูสมาชิกทั้ง 2 คนของทงบังชินกิแล้ว ยูโนยุนโฮและชเวกังชางมิน  พวกเขาเป็นเด็กหนุ่มที่ใช่/ถูกต้องจริงๆ มันดูธรรมชาติมากกว่าถูกบังคับ  กิจกรรมการบริจาคที่พวกเขาได้ทำอย่างต่อเนื่องอาจจะถูกดำเนินการในสถานที่ที่ความถูกต้องปรากฏขึ้นมาทางชีวิต  ภาพของการทำให้ดีที่สุดทุกๆช่วงเวลาของพวกเขาและการเติมพลังอย่างมุ่งมั่นทำให้คนที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกดี ยิ่งไปกว่านั้นทัศนคติที่เป็นผู้ใหญ่ในการตอบแทนความรักที่ได้รับมาจากผู้คนด้วยอิทธิพล/อำนวจที่ดีของพวกเขาก็ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของแฟนๆ

 

เราจะไม่เชิดชูสรรเสริญยูโนยุนโฮและชเวกังชางมิน  ชายสองคนที่เข้มแข็งและหนักแน่นผู้ที่ปกป้องชื่อ “ทงบังชินกิ”  และความภาคภูมิใจของแฟนๆได้อย่างไร? ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยากลำบากในการใช้ชีวิตเป็นแฟนคลับหรอกใช่ไหม?  การสนับสนุนความมุ่งมั่นของพวกเขา ความรับผิดชอบของพวกเขา ความถูกต้องของพวกเขา ฉันคาดหวัง/ตั้งหน้าตั้งตารอการดำเนินต่อไปในประวัติศาสตร์ของทงบังชินกิไปอีกนาน ในอนาคตอีกนานแสนนาน

 

*คนที่มีอำนาจมาก เช่น พระราชา และศักดิ์ศรีแห่งความรับผิดชอบก็มีมากมาย  ดังนั้นจึงมีเรื่องที่ต้องห่วงมากกว่าผู้อื่น

 

Source: https://entertain.v.daum.net/v/20190804155100360

Eng: paulisteu2618

Cr. idiom: KdramaQuotes1

Thai: UKNOW2theMAX

แปล | สัมภาษณ์ ชเวกังชางมิน GRAZIA 2019 ฉบับเดือน สิงหาคม

แปล | สัมภาษณ์ ชเวกังชางมิน GRAZIA 2019 ฉบับเดือน สิงหาคม

EAxSyNlU0AAglvb

MEN SPECIAL: “…ไม่เว้นแต่ชางมินผู้ที่ค่อยๆเพิ่มพื้นที่กิจกรรมของเขา”

 

AUGUST DIARY

วันในหน้าร้อนของชางมินผู้เงียบสงบดั่งคลื่นสีน้ำเงินเข้ม

 

Q.คุณมาภูเก็ตเป็นครั้งแรกใช่ไหมคะ?

ชางมิน: ก่อนจะมาได้ยินว่าตอนนี้ที่ภูเก็ตเป็นหน้าฝนก็กังวล  แต่ดูจะห่างไกลจากหน้าฝนเลยครับ  โชคดีที่อากาศดีมาก  ผมเคยไปบาหลีนะแต่ที่นั่นก็มีความสบายกายสบายใจที่ต่างกัน  โดยส่วนตัวมีหลายสิ่งที่ผมคิดถึงเกี่ยวกับวันเหล่านั้นและในใจก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ยากที่จะเข้าใจ   แต่ผมก็สนุกมากจริงๆแค่ได้มีความสุขกับท้องฟ้าสดใสโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไร  อาหารก็อร่อยมากๆครับ (หัวเราะ)

Q.ไม่นานมานี้คุณได้เดินทางไปถ่ายทำรายการที่นิวยอร์ค ก่อนหน้านี้คุณก็ไปเที่ยวยุโรปด้วย ดูเหมือนว่าการท่องเที่ยวนั้นมีเสน่ห์ที่คุณสัมผัสได้

ชางมิน: มีส่วนหนึ่งของ “บ้าน(house/สิ่งปลูกสร้างเป็นสถานที่อยู่อาศัย)” ในความเรียงของนักเขียน Kim Yongcha บอกว่ามันถูกแล้วที่ว่าบ้านคือสถานที่ที่มอบความอบอุ่นใจ/ความสบายกายสบายใจและเป็นบ้าน(home/ทางความรู้สึก)ที่สุด  แต่ในส่วนของอารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่คุณสามารถสัมผัสได้ภายในบ้านนั้น  มันไม่ใช่แค่ความอบอุ่นใจ/ความสบายกายสบายใจ ทุกคนยังมีความรู้สึกอ่อนแอ/ซึมเศร้าและเสียใจเกิดขึ้นภายในบ้านด้วย  ผมยังรู้สึกเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน  ผมคิดว่าการท่องเที่ยวคือประตูที่จะปลดปล่อยผมจากความรู้สึกด้านลบชั่วระยะหนึ่ง  การได้ใช้เวลาที่ต่างกันในโลกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง  ก้าวออกไปหนึ่งก้าวจากสิ่งที่คุณคุ้นเคยนั้นคือเสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ของการท่องเที่ยวครับ  การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม; ผมจะทานอาหารที่ตัวเองไม่เคยทาน; และจะตื่นเต้นไปกับการได้พบเจอวัฒนธรรมใหม่  ผมยังได้รับแรงบันดาลใจใหม่ๆในชีวิตด้วยครับ

Q.คุณยังมีความสุขไปกับการทำอาหาร การเล่น SNS ในช่วงนี้ ฉันประหลาดใจจริงๆที่ทักษะการจัดจานของคุณยังน่าทึ่งด้วย การทำอาหารกลายเป็นงานอดิเรกของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?

ชางมิน: หลังจากการทำงานมาเกือบ 16 ปี  ผมได้ค้นพบเหตุผลของการอยู่บนเวทีของตัวเองเสมอครับ  คิดว่าแฟนๆที่ห่วงใยและมอบความรักเมื่อมองดูผมร้องเพลงและเต้นคือเหตุผลแรกครับ  ผมยังคงรู้สึกพอใจในขณะที่ทำอะไรแบบนั้นอยู่ และ ณ ตอนนี้ ก็ยังรู้สึกขอบคุณที่ได้รับความรักที่ยิ่งใหญ่   แต่ในอีกด้านหนึ่งการทำอาหารก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความพึงพอใจมากกว่า(การอยู่บน)เวทีนิดหน่อย  ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่ผมรู้สึกบนเวทีนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงแต่ก็รู้สึกพอใจมากกว่านิดนึงเวลาที่ทำอาหารออกมาดี  เวลาเสิร์ชหาวิธีการทำอาหารให้รสชาติดีขึ้นและจัดจานให้สวยขึ้น  ผมจะรู้เลยว่า “ผมรู้สึกมีความสุขแบบนี้ได้ด้วยนะ” ตอนที่คุณพ่อคุณแม่ของผมไปพักผ่อนต่างประเทศ 10 วันและในฐานะพี่ชายคนโตผมก็ทำอาหารให้น้องสาวครับ  พวกเขาชอบมันนะ  ผมไม่ได้คิดไปเองแต่มันคือเรื่องจริง (หัวเราะ) น้องๆขอบคุณผมหลังจากทานหมดและผมคิดว่า “ผมยืนยันได้ว่านี่คือคุณค่าที่มีอยู่ของตัวผม” คนเราอยากทำอะไรให้ดีขึ้นเมื่อเขาได้รับคำชม ใช่ครับ ฮ่าๆ มันน่าตื่นเต้นจริงๆนะ

Q.ถ้าคุณสนใจในการทำอาหารแล้วคุณจะไม่สนใจเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารหรือการจัดจานด้วยหรอ?

ชางมิน: อ่า ใช่ครับ พอผมมาอยู่คนเดียว คุณแม่ผมดูแลเรื่องเครื่องใช้ฯและเรื่องพื้นฐาน  ตัวผมเองไม่ได้คิดอะไรเลยนะก็แค่ใช้จานที่ผมมี  หลังๆมานี้เวลาที่ทำอะไรง่ายๆ เช่น สลัด Caprese ผมคิดว่า “มันคงดูดีกว่านี้ถ้าผมจัดใส่จานที่สวยกว่านี้” มันเรียกว่า “บ้าอุปกรณ์” ใช่ไหมครับ? ฮ่าๆ ทุกวันนี้ผมมองหาจานสวยๆบ่อยๆครับ แต่ยังไม่ได้ซื้ออะไรมากมายนะ  กังวลว่าคุณแม่คงรู้สึกเจ็บปวด (เพราะมัน) (หัวเราะ) ช่วงนี้ก็เลยค่อยๆซื้อเก็บไปครับ

Q.คุณเอาหนังสือมาภูเก็ตด้วย คุณมีความสุขในการอ่านหนังสือเวลาว่าง แล้วปกติคุณอ่านหนังสืออะไรคะ?

ชางมิน: พูดจริงๆนะครับ ผมไม่อ่านนิยาย  ผมเป็นประเภทที่อ่านหนังสือและความเรียงเรื่องมนุยศาสตร์เยอะมาก  ผมอยากใช้ชีวิตในขณะเดียวกันก็โฟกัสกับตัวเองไปด้วย  ทุกวันนี้มีข้อมูลหลายอย่างมากที่หลั่งไหลผ่านทางสมาร์ทโฟน  แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะไปเป็นอย่างรวดเร็วแต่ผมก็ยังคงระมัดระวังในการพาตัวเองให้อินไปกับความรู้สึกเหล่านั้น  เมื่อมีอะไรเล็กๆมากระทบหรือทำให้ผมรู้สึกสูญเสีย  ผมจะสามารถสงบจิตสงบใจได้โดยง่ายเมื่อมองลึกลงไปในชีวิตใครซักคนหรือมองว่าการอ่านหนังสือเป็นการเรียนรู้มนุษยชน  ผมกำลังปลอบประโลมตัวเองอยู่ครับ (หัวเราะ)

Q.คุณเขียนไดอารี่ด้วย ไม่อยากเขียนหนังสือเรื่องราวของตัวเองหรอคะ?

ชางมิน: จริงๆก็เคยคิดนะครับ  เพราะผมคิดว่ามันคงน่าสนใจ  ถ้าหนังสือท่องเที่ยวเกี่ยวกับอารมณ์ที่ผมรู้สึกและประสบการณ์ที่ผมได้รับระหว่างท่องเที่ยวถูกวางออกมา  ผมคิดว่าผู้อ่านคงรับมันไว้อย่างสบายใจมากกว่างานเขียนประเภทอื่น  ผมไม่ได้เขียนไดอารี่ทุกวันหรอกครับแต่พยายามเขียนอย่างสม่ำเสมอเมื่อทำได้  เวลาอ่านสิ่งที่ตัวเองเคยเขียนแบบใส่อารมณ์มากๆมันจะดูไม่มีอคติกว่าแต่ก่อนครับ  อาจจะเป็นเหตุผลที่ทุกวันนี้ผมเขียนอะไรที่ฟังดูเป็นรูปธรรมก็ได้ครับ (หัวเราะ)

Q.พูดถึงหน้าที่ไดอารี่ที่คุณจำได้หน่อยได้ไหมคะ?

ชางมิน: การสัมภาษณ์จริงๆคือไดอารี่ของผมครับ  แต่ว่าให้คุณดูไม่ได้หรอกนะ (หัวเราะ)  ผมมีไดอารี่ที่ตัวเองสามารถมองย้อนกลับไปและอ่านมันทีหลังได้  ผมแสดงความขอบคุณต่อแฟนๆทุกๆคอนเสิร์ต  เวลานั้นอารมณ์ความรู้สึกที่ผมมีคือความจริงใจ  แต่ก็ไม่สามารถที่จะชั่งน้ำหนักของคำเหล่านั้นที่เอ่ยออกไปในสถานที่จัดคอนเสิร์ตได้  แต่เมื่อเขียนลงไปในไดอารี่แล้วผมได้ย้อนกลับไปมองอย่างถี่ถ้วน  แฟนๆเป็นอย่างไรเวลาที่นั่งซับเวย์มาด้วยความตื่นเต้นและเข้ามาในฮอล์หลังจากที่รออยู่ข้างนอกอยู่นาน  พวกเขาเป็นยังไงเมื่อได้มีความสุขไปกับคอนเสิร์ตด้วยใจเดียวกันในสถานที่เดียวกัน  ผมเขียนในขณะที่จินตนาการถึงเรื่องเหล่านั้นจึงรู้สึกได้ว่าความขอบคุณที่ผมมีมันยิ่งใหญ่ขึ้น  ด้วยเหตุผลนี้ส่วนตัวจึงชอบเขียนไดอารี่ประเภทนี้ครับ

 

EAxSyNkVAAAwRgo

Q.ฉันสงสัย/อยากรู้ว่าบทสนทนาประเภทไหนที่ชางมินในวัย 30 ต้นๆพูดคุยกับผู้คนรอบตัวเขา  คุณพูดในสิ่งที่ต่างกันกับสิ่งที่คุณคิดเมื่ออยู่คนเดียวใช่ไหม

ชางมิน: จริงๆแล้วผมไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเท่าไหร่ครับ  จะมีเวลาที่ผมคิดว่าเราไม่มีมิตรจิตมิตรใจ (ต่อกันเลย) แต่เพื่อนก็ยังคงเป็นแบบนั้น  เรามีการพูดคุยที่สนุกสนานเกี่ยวกับเรื่องราวในวันที่ยังเป็นเด็ก  เหมือนเป็นกับแกล้มในการดื่มครับ และการพูดคุยในเรื่องความกังวลของกันและกันหรือเรื่องการใช้ชีวิตแม้ว่าการใช้ชีวิตของเราจะต่างกันก็กลายเป็นว่าสบายใจขึ้น มีเรื่องราวมากมายหลายอย่างที่จะพูดกัน  แล้วก็มีเรื่องไร้สาระเยอะด้วย (หัวเราะ) แต่สิ่งเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกไร้กังวล/ผ่อนคลายในช่วงนี้ครับ

Q.ยิ่งเราคุยกันฉันก็คิดว่าคุณเป็นคนประเภทที่เข้มงวดกับตัวเองและคิดตริตรองมากๆ คุณคิดแบบนั้นไหม?

ชางมิน: ฮ่าๆ มันเป็นเพราะว่าผมโตมากับคำที่ตัวเองได้ยิน เช่น “อ่อนน้อมถ่อมตน  ระมัดระวัง ควบคุมตัวเอง” ตั้งแต่ผมยังเด็กมากๆ อ่า แน่นอนว่าผมไม่ได้โทษคุณพ่อคุณแม่หรอกนะครับ (หัวเราะ) ผมคิดว่าบุคลิกของตัวเองไม่ใช่คนที่จะนำใครก่อน  มันไม่ใช่ว่าผมคิดว่าตัวเองเป็นคนดีเลิศ(great)หรอกนะครับ เมื่อเวลาผ่านไปมีเพื่อนหลายๆคนที่เท่ห์ขึ้นและดีขึ้นกว่าผม เวลาที่คิดว่า “ผมถูกแทนที่ได้ไหมนะ?” ทุกครั้งที่ความคิดนี้เกิดขึ้นมันไม่ใช่แบบนั้นจริงๆหรอกนะครับ  เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเวลาผ่านไปผมต้องพัฒนาและเรียนรู้ต่อไปใช่ไหมครับ นั้นคือเหตุผลที่ผมคิดมากขึ้นและพยายามอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะว่าหากไม่ระมัดระวังแล้วคงจะมีปัญหาใหญ่

Q.ช่วงนี้อะไรคือสิ่งใหม่ที่คุณเรียนรู้และจะไม่ทำให้คุณเกิดปัญหา(?)?

 ชางมิน:  “ใช้ชีวิตยังไงให้เด็ก?” ฮ่าๆ จริงๆนะครับ แต่ก่อนความต่างของอายุไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ผมเคยคิดว่า “ผมทำได้ดีแล้ว” เวลาเห็นเพื่อนที่เด็กกว่าตัวเอง  แต่ทุกวันนี้ผมคิดว่าคนที่อยู่ในวัย 10 ปีที่เป็นที่ยอมรับในระดับท็อปในอาชีพของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น Billie Eillish แบบนั้นแหละครับ ผมได้ความคิดที่่ว่า “คนๆนี้เติบโตมาในสังคมแบบใดกันนะ?  คนๆนี้ได้รับอิทธิพลอะไรจากผู้คนรอบตัวเขา?” นั่นคือเหตุผลที่ผมใช้ SNS ด้วยครับ เสิร์ชหาอีโมติคอนที่เพื่อนๆใช้ และหาสิ่งที่พวกเขาใช้กัน เช่น แสลง ฮ่าๆ ผมต้องมีส่วนร่วมกับกระแสหลักด้วยนะ! 

 Q.ทงบังชินกิก็ลดเรื่องความลึกลับลงแล้ว  และในทุกวันนี้ก็ยังโชว์ด้านที่แท้จริงของพวกเขาเวลาที่ปรากฏตัวทางวาไรตี้โชว์หลายรายการ  ฉันคิดว่าคงมีซักครั้งที่คุณคิดว่าคุณควรเข้าหาผู้คนด้วยท่าทางที่เป็นมิตร/คุ้นเคย

ชางมิน: ผมคิดว่าตัวเองกับพี่ยุนโฮรู้สึกว่าเราต้องให้เห็นตัวตนของเรามากขึ้น  เวลาเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหมครับ แต่ก่อนความลึกลับอาจจะใช้ได้ เพราะบางอย่างที่ไม่รู้มันทำให้คุณอยากรู้ในสิ่งนั้นมากขึ้น  ณ ตอนนี้ถ้าคุณไม่มอบเนื้อหาที่หลากหลาย คนก็จะทิ้งไปหาอะไรที่ใหม่ๆแทน การที่ได้ให้อะไรที่พวกเขาอยากรู้ในทันทีนั้นมันเศร้านะครับ  เพราะมันคงดีถ้าก่อนหน้านี้เราให้เห็นหลายๆด้านของเรามากขึ้นกว่านี้ซักหน่อย (แต่) ผมดีใจที่มีโอกาสได้โชว์ให้เห็นในปัจจุบันนี้ ตอนนี้เราต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะได้รับความรักให้มากขึ้น

Q.การออกอากาศทางช่อง JTBC <รายการ Style of Western Food> ใกล้เข้ามาแล้ว  มีอะไรที่เราควรรอชมหรือเปล่า?

ชางมิน: เป็นรายการที่มีผู้เชี่ยวชาญที่มาจากหลายแขนงที่ต่างกันครับ เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งต่างๆที่คุณจะได้เรียนรู้ก็มีมากมายเลย  ทุกวันนี้คุณอาจจะแค่หาข้อมูลที่คุณอยากได้ทางอินเตอร์เน็ต มีข้อมูลมากมายเลย แต่สถานการณ์ปัจจุบันเราไม่ได้มีโอกาสที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเท่าไหร่ครับ  อย่างไรก็ตาม <รายการ Style of Western Food> สนุกมากๆเพราะมีหลายอย่างที่ผู้คนที่ผมได้อยู่ด้วยบอกเล่าให้ผมฟังจากทุกแง่มุม เช่น วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการทำอาหาร ฯลฯ ยกตัวอย่าง  เวลาเราซื้อรองเท้าเราจะมองเรื่องมูลค่าของแบรนด์เนม ราคา และดีไซน์ แต่เราไม่ได้รู้เรื่องราวที่ซ่อนอยู่หรือมรดกที่สืบทอดมาของแบรนด์นั้น ผมคิดว่าการเรียนรู้ข้อมูลเป็นอะไรที่แรนด้อมแต่มีประโยชน์  นั่นเป็นจุดที่สนุกของรายการนี้ครับ บุคลิคของผู้ร่วมรายการที่ปรากฏตัวระหว่างเดินทางก็เป็นอะไรที่คุณรอชมได้เลยครับ (หัวเราะ)

Q.มีรายการวาไรตี้ไหนไหมที่คุณอยากไป?

ชางมิน: อ่า รายการ EBS <The Best Cooking Secrets> ครับ (หัวเราะ) ผมถามพี่อีทึกขำๆตลอกว่าพี่จะลงจากตำแหน่งเมื่อไหร่ (โน้ต: อีทึกเป็น MC) แต่พี่เขาก็ตอบว่า “ฉันจะทำ(MC)ตลอดไป  ฉันรักมัน” ฮ่าๆ

 

Q.ครึ่งปีหลังนี้คุณก็จะยังทำงานหนักใช่ไหม  มีแพลนอะไรหรือเปล่า?

ชางมิน: ผมคิดว่าตั้งแต่ตอนนี้ไปก็จะยุ่งกับคอนเสิร์ตและการโปรโมตในต่างประเทศหัวฟูเลย  และผมก็พยายามจะใช้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น คิดมาตลอดว่า “ไปทริปกับครอบครัวเป็นยังไงนะ? ไปที่ไหนดีนะ?”   

*หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

Interview copy provided by rokyc23

Eng: paulisteu2618 

Thai: UKNOW2theMax